สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน หวั่นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกระทบผู้บริโภค พิชิต อรุณพัลลภ ระบุการยกเว้นการจัดเก็บภาษีเป็นเวลา 1 ปีให้กับที่ดินที่อยู่ระหว่างการปลูกสร้างบ้านที่้เจ้าของใช้เป็นบ้านของตนเองนั้นสั้นเกินไป แนะรัฐควรขยายเวลาเป็นอย่างน้อย 2 ปีเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีบ้านพักที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระยะยาว ย้ำถึงเวลาภาครัฐควรหันมาศึกษาหรือหาข้อมูลถึงความต้องการของคนในกลุ่มที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านเองในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น
นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ….ว่า โดยภาพรวมนั้นเห็นด้วยกับหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งในส่วนของภาคธุรกิจรับสร้างบ้านนั้นมองว่ากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเร่งให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจใช้ที่ดินสร้างบ้านมากขึ้น แต่ถ้ามองในอีกด้าน เชื่อว่าจะเป็นภาระให้คนที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อต้องการปลูกบ้านในอนาคต หรือผู้ถือครองที่ดินผืนเล็กเพื่อสร้างบ้านแต่ยังไม่มีความพร้อม เนื่องจากหากมีที่ดินแล้วแต่รอเก็บเงินอาจใช้เวลานานเป็น 3 -5 ปี หรือผู้บริโภคบางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้น ซึ่งระหว่างที่สะสมเงินนั้นผู้บริโภคมีภาระที่ต้องผ่อนชำระและยังต้องจ่ายภาษี ทำให้ความต้องการที่จะซื้อที่ดินเพื่อจะปลูกสร้างบ้านในอนาคตนั้นอาจมีผลกระทบ
โดยสาระสำคัญของกฎหมายที่กระทบกับธุรกิจรับสร้างบ้านก็คือ ข้อ 9.2 ที่ระบุว่า ให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีเป็นเวลา 1 ปีระหว่างปลุกสร้างนั้นให้กับที่ดินที่อยู่ระหว่างการปลูกสร้างบ้านที่เจ้าของใช้เป็นบ้านของตนเอง ผมว่าได้รับการยกเว้น 1ปีค่อนข้างสั้นไปเพราะสร้างบ้านมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนแน่นอน และการสร้างบ้านเองใช้เวลามากกว่าซื้อบ้านสำเร็จรูป สำหรับผู้ถือครองที่ดินใหม่นับแต่วันประกาศน่าจะมีระยะเวลาผ่อนผันเพื่อวางแผนการใช้ที่ดินเพราะถ้ามีการเปลี่ยนการถือครองหรือใช้ในเชิงพาณิชย์ภายใน 5 ปีจะมีภาระภาษีธุรกิจเฉพาะคุมอยู่แล้ว นายพิชิต กล่าวพร้อมให้ความเห็นด้วยว่าถ้าจะเป็นการดีในการกระตุ้นหรือสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองคือให้ยืดระยะเวลาในการลดหย่อนภาษี 0% สำหรับบ้านพักอาศัยที่กำลังปลูกสร้างจาก 1 ปีเป็น 2 ปีเป็นอย่างน้อย
ทั้งนี้ หลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ….ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีสมาคมฯเรามีการปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้พอสมควร พร้อมกับได้ข้อสรุปที่จะเสนอรัฐบาล ควรหันมาศึกษาหรือหาข้อมูลถึงความต้องการของคนในกลุ่มที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านเองในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งภาครัฐเองอาจมีมาตรการออกมาสนับสนุนในรูปแบบเงื่อนไขพิเศษด้วยการ “คืนภาษี หรือ หักลดหย่อนภาษี”สำหรับผู้ที่ซื้อที่ดินโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างบ้านเอง ซึ่งหากรัฐมีความชัดเจนในการออกมาตรการมาสนับสนุนดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้ที่ดินว่างเปล่ามีการใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ภาครัฐควรมีกฎหมายลูก เพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ด้วย เช่น มีการสลักหลังในที่ดินที่ซื้อเก็บเพื่อปลูกสร้างบ้านเป็นการเฉพาะให้มีกำหนดเป็นระยะเวลากี่ปี ซึ่งจะต้องมีการปลูกสร้างบ้านภายในช่วงเวลาที่กำหนด ภายหลังที่มีการปลูกสร้างแล้วเสร็จภาครัฐก็คืนภาษีให้ผู้บริโภคต่อไป การที่ประชาชนสามารถมีบ้านพักอาศัยเป็นของตัวเองจะเป็นตัวชี้วัดการพัฒนาและความเจริญของประเทศ นายพิชิต กล่าวในตอนท้าย