บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ แตกแบรนด์ใหม่ “ MARU (มารุ) ” รุกตลาดคอนโดย่านลาดพร้าวและเอกมัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ Live More, Live Maru ชูจุดขายที่เป็นคอนโด Pet Friendly & Wellness Living คอนโด มารุ ลาดพร้าว 15 และ มารุ เอกมัย 2 เป็น 2 โครงการแรกที่สร้างในเวลาเดียวกันบนทำเลที่มีการเติบโตมากที่สุดของกรุงเทพฯ เพื่อตอบโจทย์ ไลฟ์สไสต์คนเมือง ที่ทำงานนอกออฟฟิศ หรือที่บ้าน และชอบพักผ่อน สังสรรค์ กับเพื่อนๆ ขณะเดียวกันคอนโด Maru ก็ยังอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงในคอนโดมิเนียม ซึ่งในโครงการได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยง และพื้นที่สำหรับคนรักสุขภาพอย่างแท้จริง โดยโครงการจะเริ่มเปิด PRE-SALES ครั้งแรกในวันที่ 23 – 24 กันยายน นี้
ดร. สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า “มารุเป็นโครงการคอนโด High Rise สูง 30 ชั้น จำนวนยูนิตไม่มาก ราคาเริ่มต้น 3.7 ล้านบาท ดีไซน์ด้านสถาปัตยกรรมค่อนข้างเรียบง่าย ใช้สีธรรมชาติเป็นหลัก
เน้นพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางเยอะๆ โดยมีส่วนกลางพื้นฐานอย่างห้องฟิตเนส, สระว่ายน้ำแล้ว ก็ยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่เน้นกิจกรรมอื่นๆ เช่น พื้นที่จอดรถจักรยาน, Co-Creation Space, Co-Kitchen Space, Quite Room, Outdoor theater ภายใต้บรรยากาศร่มรื่นใกล้ต้นไม้ มีสวนขนาดใหญ่อยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าโครงการเพื่อเป็นตัวกรองมลภาวะ ทั้งอากาศ และเสียงจากภายนอก เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง
แต่ยังคงรสนิยมการตกแต่งในรูปแบบซุปเปอร์พรีเมี่ยมสไตล์เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ การจัดวางพื้นที่ใช้สอยสะดวกในการใช้งาน สำหรับสัตว์เลี้ยงจะมีพื้นที่สำหรับอาบน้ำให้ และสามารถพามาเดินเล่นตามสวนต่างๆ ในอาคารได้ แต่ห้ามเข้าพื้นที่ Indoor
ด้านทำเล ทั้งสองโครงการจะเน้นใกล้รถไฟฟ้า เดินทางสะดวก MARU ลาดพร้าว 15 อยู่ติดถนนลาดพร้าว ห่าง MRT ลาดพร้าว เพียง 50 เมตร ขณะที่ MARU เอกมัย 2 จะอยู่ห่างจาก BTS เอกมัย เพียง 450 เมตร
ด้านราคา คอนโด MARU ลาดพร้าว 15 จะถูกกว่า มีราคาเริ่มต้น 3.6 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 150,000 บาท/ตร.ม. ส่วน Maru เอกมัย 2 ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 4.3 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 189,000 บาท/ตร.ม.
แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้ ดร.สุริยา ได้ให้ความเห็นว่า “ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ที่ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลหลักอย่างสุขุมวิท ที่แม้จะมีคอนโดฯ เกิดใหม่ขึ้นจำนวนมาก แต่ก็มีความต้องการซื้อจำนวนมากเช่นกัน ที่น่าสนใจก็คือแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ ที่เริ่มกลับเข้ามาโดยในส่วนของ MJD พบว่ามีความต้องการซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ ทั้งการซื้อแบบรายย่อย และการซื้อ big lot ของรายใหญ่ ทั้งจากนักลงทุนจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่อขายต่อหรือปล่อยเช่า ส่วนลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี ขณะที่ปัญหาฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เชื่อว่าจะไม่เกิดอย่างแน่นอน เพราะธนาคารค่อนข้างเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ “ในธุรกิจอสังหาฯ การเลือกทำเล และจับตลาดให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง MJD เราจับตลาดลูกค้าระดับบน เป็นรายแรกๆ ตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ไม่มีใครกล้าเปิดโครงการ แต่เรามองเห็นศักยภาพว่าตลาดระดับบนน่าจะยังไปได้ ประกอบกับการเลือกทำเลที่ถูกใจลูกค้า ทำให้เราได้รับความเชื่อมั่น เมื่อพูดถึงโครงการในระดับ Luxury หรือ Super Luxury ขึ้นไป ลูกค้าก็จะคิดถึงเราเป็นอันดับแรกๆ” ดร. สุริยากล่าวปิดท้าย