Singha Estate เผยแผนธุรกิจเป็น Property Development and Investment Holding Company ขยายการลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2563
· ~ 1 min readสิงห์ เอสเตท (Singha Estate) ประกาศแผนธุรกิจเป็น Property Development and Investment Holding Company ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2563 จากการพัฒนาธุรกิจทั้งธุรกิจ Residential, Hotel, Commercial และธุรกิจอื่นๆ เผยนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศเชื่อมั่นร่วมลงทุนกว่า 7 พันล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกรายได้รวมโตเพิ่มขึ้น 81% ส่วนไตรมาสที่เหลือปีนี้เตรียมเปิดเพิ่มอีก 4 โครงการในประเทศ และ 1 Mega Project ต่างประเทศ
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” กล่าวถึงแผนดำเนินธุรกิจว่า บริษัทฯ มีนโยบายที่จะดำเนินธุรกิจในแบบ Property Development and Investment Holding Company เน้นการพัฒนาธุรกิจต่างๆ ที่เข้าไปลงทุนให้มีความแข็งแกร่ง และมีความเติบโตต่อเนื่องเพื่อให้เกิดโอกาสและผลดีในทุกธุรกิจของบริษัทฯ สามารถที่จะสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เน้นการสร้าง Synergy ในหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและกระจายความเสี่ยง โดยตั้งเป้าขยายการลงทุนในธุรกิจต่างๆ มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2563 ซึ่งจะประกอบด้วย ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจคอมเมอร์เชียล (ธุรกิจค้าปลีก และอาคารสำนักงาน) และธุรกิจใหม่ๆที่สร้างโอกาสในอนาคต
Singha Estate ได้ทำการเพิ่มทุนและการออกหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 7,720 ล้านบาท ส่งผลให้มี free-float เพิ่มขึ้นจาก 24% เป็น 38% โดยมีสถาบันชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจลงทุน โดย Singha Estate ได้เสนอขายหุ้นใหม่แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) มูลค่า 1,664 ล้านบาท ให้กับ บลจ.บัวหลวง บลจ.วรรณ และกองทุน Frankling Templeton ซึ่งเป็นกองทุนที่ติดอันดับ Top 5 ของโลก และการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่า 6,056 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติและจับจองเต็มมูลค่า
นายนริศ กล่าวต่อไปว่า สำหรับผลประกอบการของ สิงห์ เอสเตท ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 2,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เมื่อเทียบกับ YoY 2559 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 1,229 ล้านบาท และใน 6 เดือนแรกปี 2560 มีกำไรก่อนดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคาโดยไม่รวมค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงาน (EBITDA) 465 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 263 ล้านบาท
ส่วนครึ่งหลังปี 2560 จะมีการพัฒนาโครงการใหม่อีก 4 โครงการ เป็นโครงการที่พักอาศัยระดับ luxury ที่พัฒนาโดยสิงห์ เอสเตท 2 โครงการ THE ESSE at Sukhumvit 36 ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Singha Estate กับทาง Hongkong Land และ SANTIBURI THE RESIDENCES และโครงการที่พัฒนาโดย บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) (NVD) 2 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียม super luxury ริมแม่นำเจ้าพระยา Banyan Tree Residences Riverside Bangkok และโครงการทาวน์โฮม Nirvana Define กรุงเทพกรีฑา ซึ่งจะเน้นการทำตลาดแบบ Living Solution ให้กับกลุ่มไฮเอนด์และเจาะกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน
นอกจากนี้ยังมีโครงการเมกะโปรเจกต์ Emboodhoo Lagoon ที่ประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าเป็นผู้พัฒนาโครงการในระดับเวิลด์คลาส ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 11,000 ล้านบาท โดยพัฒนาโครงการแบบ mix-used ในรูปแบบใหม่เจาะตลาด Upscale Family ที่ได้รับความร่วมมือจากเครือ Hard Rock เข้ามาร่วมเป็น Strategic Partner รายแรกที่จะมาร่วมพัฒนา Theme Hotel แห่งแรกในโครงการ