นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยภาพรวมของ AP (Thailand) ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี มีอัตราการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ โดยสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 27,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 18,090 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลจากสินค้าแนวราบ และคอนโดเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ของปี โดยส่วนหนึ่งของยอดรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากการทยอยโอนกรรมสิทธิ์โครงการ VITTORIO คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ระดับอัลตร้า-ลักซ์ ซึ่งปัจจุบันสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้เป็นที่เรียบร้อย ด้านกำไรบริษัทมีกำไรรวมสุทธิรวมอยู่ที่ 2,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1,792 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 10 เดือนแรกของ AP (Thailand) นั้นสามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึง 38,545 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมมูลค่า 20,930 ล้านบาท โครงการแนวราบมูลค่า 17,615 ล้านบาท ส่งผลให้ AP (Thailand) สามารถสร้างยอดขายได้ 96.8% ของเป้าปี 2561 ที่ปรับขึ้นใหม่ (เป้ายอดขาย 39,800 ล้านบาท)
ในไตรมาส 4 AP (Thailand) มีแผนเปิดตัวโครงอีก 12 โครงการ มูลค่า 16,840 ล้านบาท โดยเปิดไปแล้วจำนวน 9 โครงการ 13,200 ล้านบาท ส่วนอีก 3 โครงการที่เหลือเหลือจะเปิดตัวในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยจะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 3,640 ล้านบาท และหนึ่งในไฮไลท์ก็คือ การเปิดพรีเซลคฤหาสต์หรู The Palazzo ศรีนครินทร์ อย่างเป็นทางการในวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ รวมถึงยังคงมีโครงการอยู่ในพอร์ตพร้อมขาย อีกกว่า 100 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายประมาณ 53,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่า ณ สิ้นปีจะสามารถทำยอดขายทะลุเป้าได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้เมื่อมาดูผลประกอบการของ AP (Thailand) เฉพาะไตรมาส 3 ปี 2561 จะพบว่ารายได้รวมจากสินค้าแนวราบกลุ่มคอนโดมิเนียม (100%JV) และธุรกิจอื่นๆ เท่ากับ 9,203 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 54.3% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 5,965 ล้านบาท ในด้านกำไรสุทธิเติบโตขึ้น 43.9% อยู่ที่ 915 ล้านบาท และยอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) เมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีมูลค่าอยู่ที่ 54,147 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 7,542 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมมูลค่า 46,605 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) และคาดว่าจะรับรู้ภายในปีนี้อีกประมาณ 4,025 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566