บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ประกาศจุดยืน “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) ด้วยการนำความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย มุ่งสร้างชื่อเสียงประเทศไทยให้ยิ่งใหญ่บนเวทีโลก พร้อมฉลองการเข้าสู่ปีที่ 60 ด้วยรายได้ที่เติบโตจากปี 2557 ถึงเท่าตัว พร้อมตั้งเป้ารายได้กลุ่มธุรกิจโตต่ออีก 1-1.5 เท่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า
นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “จากทิศทางที่สยามพิวรรธน์ได้ประกาศไปเมื่อ 5 ปีก่อน และประสบความสำเร็จอย่างมาก ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนโฉมและรูปแบบของ Siam Center, Siam Discovery : The Exploratorium และการเปิดตัว ICONSIAM ปีนี้ทางสยามพิวรรธน์ ได้มุ่งสู่การเป็น ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) โดยได้วางแผนกลยุทธ์ใหม่ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ และกำหนดทิศทางการลงทุนของสยามพิวรรธน์ ซึ่งจะเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกับคนไทยทั้งประเทศ และพันธมิตรชั้นนำในต่างประเทศ ชูความสามารถ และต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม โดยเราตั้งเป้าว่าในอีก 5 ปีข้างหน้ารายได้กลุ่มธุรกิจของเราจะโตขึ้นอีก 1 – 1.5 เท่า”
โดยสยามพิวรรธน์มีกลยุทธ์สำคัญที่จะเป็นแผนธุรกิจ 5 ปี ทั้งหมด 6 ด้าน
1.เดินหน้าสร้างมหาปรากฏการณ์ ต่อยอดจากความสำเร็จของ One Siam (วันสยาม) และ ICONSAIM (ไอคอนสยาม)
จากความสำเร็จที่ผ่านมาทำให้สยามพิวรรธน์ได้รับการติดต่อจากผู้ประกอบการในต่างประเทศให้ไปร่วมลงทุน หรือเป็นที่ปรึกษาในการทำโครงการ โดยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบและคอนเซ็ปต์ที่แปลกใหม่เหนือความคาดหมายเพิ่มอีก โดยยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด ณ ตอนนี้
นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน One Siam ซึ่งเป็นการผนึกกำลังของ Siam Paragon, Siam Center และ Siam Discovery เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าและครองความเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้า
สำหรับ ICONSIAM ก็เปิดองค์ประกอบสำคัญเพิ่มเติม เช่น TRUE ICON HALL (ทรู ไอคอน ฮอลล์) ศูนย์ประชุมพร้อมนวัตกรรมล้ำยุคแห่งแรกในกรุงเทพบนพื้นที่กว่า 12,000 ตารางเมตร ที่สามารถรองรับการจัดงานประชุมระดับชาติ และจัดแสดงโชว์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ และ Rivermusuem Bangkok (ริเวอร์มิวเซียม แบงค็อก) ซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์มาตรฐานระดับสากลครั้งแรกในเมืองไทย โดยจะทำงานร่วมกับเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก เพื่อนำผลงานศิลปะล้ำค่าจากต่างประเทศมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
2.ผนึกกำลังพันธมิตรแถวหน้าระดับโลก ร่วมพัฒนาธุรกิจค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์
เมื่อปี 2561 สยามพิวรรธน์ประกาศการลงทุนร่วมกับพันธมิตรระดับโลก ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป จากอเมริกา มีกำหนดการที่จะเปิด Luxury Premium Outlets แห่งแรกในประเทศไทยในปลายปีนี้ และขยายเพิ่มไปนอกกรุงเทพฯ อีก 2 แห่ง ส่วนด้านของธุรกิจค้าปลีก ก็ได้จับมือกับ Takashimaya (ทาคาชิมายะ) เพื่อเปิด Siam Takashimaya สาขาแรกในประเทศไทยที่ไอคอนสยาม
3.ลงทุนธุรกิจใหม่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก
สยามพิวรรธน์มีความสนใจที่จะลงทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจอื่น และขยายธุรกิจค้าปลีก ที่จะช่วยสนับสนุนธุรกิจหลักเพื่อเสริมศักยภาพ เช่น การซื้ออาคารสำนักงาน กิจการจัดส่งสินค้า (logistics) รวมไปถึงธุรกิจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ๆ และยังตั้งเป้าในการขยายธุรกิจภายใต้บริษัทลูกอีก 4 – 5 บริษัทใหญ่
4.เปิดตัวระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และการบริหารจัดการข้อมูล เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดแบบครบวงจร
ด้วยการทำงานที่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของลูกค้าเป็นหลัก (Customer Centric) สยามพิวรรธน์ จึงได้ศึกษาความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการออกแบบการสร้างประสบการณ์ (customer journey) การให้บริการ และการส่งเสริมการขายให้ตรงความต้องการของลูกค้าในแต่ละบุคคลมากที่สุด โดยในปีนี้ เปิดตัว Marketing Intelligence System ที่ได้พัฒนามานานกว่า 5 ปี ด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท ทั้งในส่วนของ Front-End และ Back-End ซึ่งข้อมูลที่ได้ก็จะนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อให้ตอบรับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
5.สร้างคุณค่า สมประโยชน์ร่วมกันสู่ความยั่งยืน จับมือผู้ประกอบการไทยทั่วประเทศพร้อมแข่งขันบนเวทีโลก ปั้น Local Heroes ให้เป็น Global Heroes
สยามพิวรรธน์ ยึดมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability) โดยการสร้างแบบอย่างการดำเนินธุรกิจ คือ การร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) และ การสร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย (Creating Shared Value) ซึ่งเป็นคอนเซปต์หลักในการพัฒนาทุกโครงการของสยามพิวรรธน์ตลอดมาจะผนึกกำลังร่วมกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่ และบุคคลผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากทั่วโลก
6.การพัฒนา Siam Piwat Academy และการสร้างสยามพิวรรธน์ Next-Gen Leader
เพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่โตอย่างก้าวกระโดด สยามพิวรรธน์จึงสร้าง Next-Gen Leader เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่มาขับเคลื่อนองค์กร ให้มีเวทีในการแสดงศักยภาพ มีโอกาสเติบโตและภาคภูมิใจไปกับทุกความสำเร็จขององค์กร รวมถึงยังทำโครงการ Siam Piwat Academy (สยามพิวรรธน์ อคาเดมี) เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้การบริหารศูนย์การค้าและการค้าปลีก โดยขยายความร่วมมือไปกับสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ
โดยสยามพิวรรธ์เชื่อมั่นว่าด้วยกลยุทธ์ที่วางไว้ จะสามารถทำให้ประสบความสำเร็จในวงการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ต่อไปอีกในทุกยุคทุกสมัย และช่วยให้มุ่งสู่การเป็น “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) และนำประเทศไทยสู่ความยิ่งใหญ่บนเวทีโลกได้