บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ประกาศผลประกอบการ ปี 2560 มียอดรับรู้รายได้ที่ 3,589.2 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนหน้า 33% ซึ่งนับเป็นการขยายตัวเกิน 30% ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่สอง ทั้งนี้บริษัทยังคงความสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเหนือค่าเฉลี่ยของตลาด โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 38.8% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับลดลง ส่งผลให้มีกำไรสุทธิทั้งปี อยู่ที่ 680.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 36%
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดโดยรวมแทบจะไม่มีการขยายตัว แต่สำหรับบริษัทมีการวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ถูกต้อง ทำให้แม้สถานการณ์ และสภาพแวดล้อมโดยรวมจะไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัทยังมียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัวเกิน 30% ต่อเนื่องติดต่อกันมา 2 ปี ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยในปี 2560 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 3,589.2 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 33% ในขณะที่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ ได้ดีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2560 บริษัทยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก รวมทั้งการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ในปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 36.1% หรือมีกำไรสุทธิที่ 680.8 ล้านบาท
ในแง่ของโครงสร้างเงินทุน แม้ว่า LALIN จะมีการขยายตัวอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทยังคงรักษาระดับ Gearing ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดย ณ สิ้นปี 2560 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน
(D/E Ratio) อยู่เพียง 0.79 เท่า ปรับลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 0.85 เท่า และเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.4 เท่า ทั้งนี้บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเงินอย่างรัดกุม โดยมีการใช้แหล่งเงินกู้ที่หลากหลาย รวมทั้งมีการตั้งวงเงิน Committed Line จากธนาคารพาณิชย์อย่างเพียงพอสำหรับภาระหนี้ทั้งหมดที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดีบริษัทอยู่ระหว่างการออกหุ้นกู้จำนวน 500 ล้านบาท โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ที่ 2.95% ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเข้าจองซื้อเต็มทั้งจำนวน เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
นายไชยยันต์ กล่าวปิดท้ายว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติเห็นชอบจัดสรรกำไรสำหรับปี 2560 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ซึ่งหากคิดจากราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน จะมี Dividend Yield อยู่ที่ราว 5.6% โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.135 บาทต่อหุ้น ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มอีก 0.165 บาทต่อหุ้น โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2561 หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 ทั้งนี้การจ่ายปันผลดังกล่าวต้องนำเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ในเดือนเมษายนนี้