ร่วมอิสสระ กางแผนงานอาณาจักรทิวทะเลเอสเตท เดินหน้าพัฒนาตลาด Mixed Use เต็มรูปแบบแห่งแรกในหัวหิน ชูคอนเซปต์ความครบวงจรบ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม โรงแรม พูลวิลล่า ร้านอาหาร รวมถึงบริการสันทนาการจัดงานต่างๆ พร้อมมุ่งสู่ความเป็น The Ultimate Luxury Beachfront Community ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในวันพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ
นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางอสังหาริมทรัพย์ของตลาดชะอำ-หัวหิน ว่ายังมีการเติบโตที่ดีขึ้นหลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีความซบเซา โดยสังเกตได้จากการขึ้นโครงการใหม่ๆ ที่ผ่านมายังค่อนข้างน้อย แต่ในช่วงจากนี้ไปมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ชะอำ-หัวหิน จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยมีปัจจัยหนุนจากภาครัฐที่มีแผนพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิการสร้างทางด่วนยกระดับพระราม 2 ลอยฟ้า กรุงเทพฯ-ราชบุรี และทางด่วนใหม่เชื่อมพระราม 3-วงแหวน รวมถึงรถไฟฟ้าความเร็วสูง กรุงเทพฯ – ชะอำ หัวหิน ที่จะช่วยให้การเดินทางมาชะอำ-หัวหินมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
“จากปัจจัยด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้เมืองชะอำ-หัวหิน เป็นเมืองที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจการค้าให้เติบโตตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ของดีเวล็อปเปอร์ต่างๆ สนามกอล์ฟระดับเวิลด์คลาส แหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร สถานบันเทิงใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยดึงความน่าสนใจให้กับเมืองชะอำ-หันหินให้เป็นแลนด์มาร์คยอดฮิตที่นิยมจากอดีตจนถึงปัจจุบันได้อีกด้วย” นายสงกรานต์ กล่าว
ทั้งนี้ในส่วนของโครงการ “อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท” ซึ่งเป็นโครงการการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ชะอำ-หัวหิน เนื้อที่ประมาณ 110 ไร่ ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังจากที่เปิดตัวการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบ Mixed Use ไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาในปัจจุบันมีโครงการแล้วเสร็จรวม 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนี่ยมติดทะเล ได้แก่ โครงการบ้านทิวทะเล อความารีน (Aquamarine) ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 97%, โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire) ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 75%, โครงการบลู (Blu) ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 50% นอกจากนี้ยังมีโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้แก่โครงการ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua hin ปัจจุบันมียอดขายในส่วนของเรสซิเดนซ์ ไปแล้วกว่า 70% รวมถึงยังมีในส่วนของ “บ้านโชค” ซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศเก่าแก่ของตระกูลโชควัฒนา ในสไตล์หัวหินโคโลเนียล ซึ่งได้มีการปรับรีโนเวทจากอาคารไม้หลังเดิมให้กลายเป็นอาคารโครงสร้างเหล็กที่ยังคงมีความทรงจำดีๆ ของบ้านโชคให้เป็นส่วนหนึ่งภายในอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทที่จะเป็นทั้งสถานที่ตากอากาศ ร้านอาหาร คาเฟ่ ห้องประชุม สถานที่จัดเลี้ยง งานแต่ง และพื้นที่จัดกิจกรรมดีๆ ริมทะเลสวยๆ อีกด้วย
“ตลาด Mixed Use ชะอำ-หัวหิน ยังมีอยู่น้อยมาก หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ เพราะการหาทำเลที่มีพื้นที่กว้างขวางค่อนข้างหายาก ดังนั้นเมื่อทิวทะเลเอสเตทมีทำเลที่ตั้งที่ดีจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาโครงการในลักษณะ Mixed Use ที่ผสมผสานทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการพักผ่อน และเพื่อการพาณิชย์ ที่รวมบ้านเดี่ยว คอนโด โรงแรม ในทำเลติดชายหาดยังมีอยู่น้อยมาก จึงนับได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีของเราในการรุกตลาด Mixed Use ด้วยจุดเด่นของการมีทำเลที่ดี ทุกโครงการสามารถตอบโจทย์การพักอาศัยให้กับทุกๆ ไลฟ์สไตล์ ที่มาพร้อมกับการให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งเราถือว่าเราเป็นเจ้าแรกที่ทำโครงการ Mixed Use ที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ชะอำ-หัวหินออกมาได้สำเร็จ” นายสงกรานต์ กล่าว
อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ภายใต้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาในรูปแบบรีสอร์ท มีคอมเมอร์เชียลสไตล์ใหม่ๆ เอ้าท์ดอร์เพลย์กราวด์ เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ตรงทุกกลุ่ม และให้มีความแตกต่างจากทุกโครงการที่พัฒนาออกมาเสริมเติมเต็มการให้บริการในทุกๆ รูปแบบ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเนรมิตให้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตทแห่งนี้คือศูนย์รวมความครบวงจรสำหรับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ และมุ่งสู่ความเป็น The Ultimate Luxury Beachfront Community
ด้านนายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เปิดเผยว่าหลังจากที่เปิดตัวทุกโครงการที่พัฒนาออกมาบนพื้นที่ของอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทไปแล้วทั้งหมด 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 7,200 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ไปแล้วประมาณ 50 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 110 ไร่ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากแต่ละโครงการมีความโดดเด่น และสร้างไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน สามารถตอบโจทย์ได้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย
“ความเป็นโครงการ Mixed Use ของเราจุดเด่นๆ คือการที่เรามีทำเลที่ดี มีหน้าหาดยาวถึง 160 เมตร ทุกโครงการของเราติดทะเล ซึ่งเป็นส่วนช่วยเติมเต็มความสุขให้กับทุกคนที่เข้ามาพักผ่อนได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ความมีชื่อเสียงของบริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ก็ยิ่งเป็นส่วนช่วยสร้างความมั่นใจ ด้วยประสบการณ์การพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ของบริษัททำให้ลูกค้ามีความไว้วางใจและเชื่อมั่นว่าโครงการต่างๆ ที่พัฒนาออกมาบนพื้นที่อาณาจักรแห่งนี้จะไม่ละทิ้งลูกบ้าน แต่เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอื่นๆ ต่อไปอีก นอกจากนี้การที่เราเป็นอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทแบบนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเราไม่ใช่โปรเจคที่เป็นแสตนอโลน ไม่ได้ทำเพียงโปรเจคเดียวแล้วจบ แต่เรายังมีแผนที่จะค่อยๆ พัฒนาโครงการดีๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรายังมีความตั้งใจที่จะสร้าง Community ริมหาดที่ดีที่สุดในเอเชีย ที่มาพร้อมกับความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงบริการต่างๆ ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เราอยากให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในอาณาจักรแห่งนี้คือครอบครัวเดียวกัน คือพี่น้องกัน สามารถใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ที่อยู่ภายในอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทได้ทั้งหมด นอกจากนี้ในส่วนของโรงแรมก็จะเป็นส่วนกลางที่เข้ามาสร้างมูลค่าในการให้บริการลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย” นายดิฐวัฒน์ กล่าว
นายดิฐวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการขายและการตลาดของทิวทะเลเอสเตทว่า นอกจาการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณานี้แล้ว ยังจะมีการจัดกิจกรรมหรืออีเว้นท์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายและเพิ่มไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้า โดยในวันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561 เตรียมจัดงาน “Thew Talay Estate Beat of Life @ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua hin” ขึ้น โดยไฮไลท์ภายในงานพบกับคอนเสิร์ตจาก บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์, แฟชั่นโชว์จาก Elle ฯลฯ, Water Sport by Iconic Studio นอกจากนี้จะมีโปรโมชั่นจากทุกโครงการ “วันเดียว ราคาเดียว” อีกด้วย
ขณะที่นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีพันวา แมเนจเมนท์ จำกัด และบริษัท อิสสระ จุนฟา จำกัด เปิดเผยว่าในส่วนของโรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหิน หลังจากที่ทำการเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ จีน ไต้หวัน แคนาดา และยุโรป เป็นอย่างดี สำหรับลูกค้าคนไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของลูกค้าที่เคยใช้บริการที่โรงแรมศรีพันวา เพื่อเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์การพักผ่อนใหม่ๆ กับโรงแรมน้องใหม่ที่อยู่ภายใต้การบริหารแบบมืออาชีพจาก ศรีพันวา
“ด้วยความที่โรงแรมมีทีมบริหารงานมืออาชีพอย่างศรีพันวา จึงทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในบริการที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งรูปแบบการดีไซน์ของห้องพักทุกห้องมีสระว่ายน้ำ สร้างความเอ็กซ์คลูซีฟให้ได้สัมผัสกับวิวทะเลทุกห้อง ชูคอนเซปต์ความเป็น Music Lovers Hotel ใช้เสียงเพลงถ่ายทอดความประทับใจสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นบาบา บีช คลับ อีกทั้งในทุกๆ สัปดาห์เราจะมีการจัดกิจกรรม อาทิ ดีเจ และ Live Entertainment รวมถึงการจัดอีเว้นท์พิเศษพูลปาร์ตี้ Baba Beach Pool Party ซึ่งจัดทุกเสาร์สุดท้ายของเดือน เพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับแขกที่เข้ามาและแขกทั่วไปได้มีกิจกรรมสันทนาการ ” นายวรสิทธิ กล่าว
อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนการพัฒนาโรงแรมในระยะต่อไป มีแผนที่จะพัฒนาโรงแรมเพิ่มอีก 49 ห้อง พร้อมพัฒนาพื้นที่ให้มีห้องบอลรูม ห้องประชุมขนาดใหญ่ คูลสปา คิดส์คลับ ร้านอาหารซึ่งคาดว่าจะน่าเปิด ช่วงในปี 2020 เพื่อเป็นการขยายพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวชะอำ-หัวหิน มากขึ้น โดยจากข้อมูลการท่องเที่ยวชะอำ-หัวหิน ในปี 2558 ที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและเดินทางท่องเที่ยวชะอำ-หัวหิน ทั้งหมด 4,835,371 คน และ 5,923,321 คน ตามลำดับ ซึ่งมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งชะอำ-หัวหิน ยังมีเป็นเมืองที่มีความน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว การเดินทางสะดวกสบาย ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 2 ชั่วโมง