อสังหาแห่โรดโชว์ดึงทุนนอก
· ~ 1 min readหลังจาก สถานการณ์การเมืองของไทยฟื้นตัวมีเสถียรภาพ ปลอดบรรยากาศการประท้วง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจในการเข้ามาลงทุนอสังหาฯไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลสิงคโปร์ -ฮ่องกง การปรับขึ้นภาษีอสังหาในอัตรา 15% รวมถึงเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้นักลงทุนเริ่มลังเลที่จะเข้าไปลงทุน เพราะนั่นหมายถึงผลตอบแทนที่จะลดลง
ถือเป็นโอกาสดีสำหรับอสังหาริมทรัพย์ของไทยในการนำโครงการไปโรดโชว์ยังต่างประเทศ เพราะมีอัตราดอกเบี้ยและภาษีอสังหา อยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศคู่แข่งมาก อีกทั้งราคาอสังหา ในไทยยังถูกว่าหลายเท่าตัวด้วย อาทิ ถูกกว่าในสิงคโปร์ถึง 10 เท่า ขณะที่อสังหา ในพม่า เวียดนาม ราคาแพงกว่าไทย 3-4 เท่า
แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและผู้อำนวยการ-หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปรากฎการณ์การนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ไปโรดโชว์ขายนักลงทุนต่างประเทศ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่จากภาวะการเมืองที่เริ่มนิ่ง ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมั่นใจพอที่จะลงทุนซื้ออสังหาใน เมืองไทยมากขึ้น จังหวะนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการทำตลาดชาวต่างชาติ รวมทั้งโอกาสทางธุรกิจจากการที่สิงคโปร์ ฮ่องกง ได้มีการเก็บภาษีอสังหาใน อัตรา 15% และเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้ ตามมาตรการควบคุมการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย อาจทำให้อุปสงค์ส่วนนี้เบนไปสู่ประเทศอื่นแทน โดยเฉพาะอสังหาเมืองไทย มีราคาถูกกว่า ฮ่องกง และสิงคโปร์หลายเท่าตัว ซึ่งพบว่าปีนี้ ปีนี้จึงได้เห็นการออกไปโรดโชว์ต่างประเทศมากขึ้นกว่าทุกปี
สำหรับแผนการดำเนินงานของไนท์แฟรงค์ปี 2556 มีแผนนำโครงการไทยไปโรดโชว์ต่างประเทศมากถึง 10 ครั้ง จากปีที่แล้วจัดโรดโชว์แค่ 3 ครั้ง โดยเน้นตลาดสิงคโปร์และฮ่องกงเป็นหลัก โดยเฉพาะสิงคโปร์ จะโรดโชว์มากกว่า 5 ครั้ง ในช่วงเดือนพ.ค.,มิ.ย. และก.ค.นี้ ทั้งนี้ คาดว่าสามารถทำยอดขายแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 100-200 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ช่วงเดือนมี.ค. ได้นำคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ที่อยู่ระหว่างบริหารงานขายไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์มาแล้ว รวม 50-60 ยูนิต มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท เช่น โครงการนารา 9 ของอีสเทอร์น สตาร์, โครงการ รอยซ์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ โครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มเอไอจีและกลุ่มเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งสามารถทำยอดขายกว่า 100 ล้านบาท
“ปีนี้มีบริษัทอสังหาไทย สนใจร่วมไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์ และฮ่องกง มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทมีโครงการในย่านซีบีดี สุขุมวิท ช่วงรอยต่อแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งเป็นทำเลที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจสูงเป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการลงทุน อีกทั้งมองว่ามาตรการควบคุมการซื้ออสังหา ในสิงคโปร์ ฮ่องกง จะเป็นโอกาสทองในการดึงเม็ดเงินจำนวนดังกล่าวมายังตลาดที่อยู่อาศัยไทย เพราะมีเงินแค่ 4-6 ล้านบาทก็ซื้อคอนโดฯในไทยได้ แต่หากซื้อคอนโดฯในสิงคโปร์ ต้องใช้ 50 ล้านบาท โดย 75% เป็นการซื้อเพื่อลงทุน อีก 25% ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง” ข่านกล่าว
ด้าน ประไพสิทธิ์ ตัณฑ์เกยูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โบ๊ทเฮ้าส์หัวหิน จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้นำโครงการโบ๊ทเฮ้าส์หัวหิน ไปร่วมโรดโชว์กับไนท์แฟรงค์ ที่ประเทศสิงคโปร์ เนื่องจาก มองว่าสิงคโปร์เป็นตลาดมีศักยภาพ และในช่วง 1 ปีนี้ นักลงทุนสิงคโปร์เองก็สนใจเข้ามาซื้ออสังหาใน หัวหินมากขึ้น เพราะเมื่อเทียบกับภูเก็ต แม้ว่าจะมีชายหาดสวยสู้ไม่ได้ แต่มีราคาถูกกว่ามาก การเดินทางสะดวก จากการร่วมโรดโชว์สามารถขายได้ 2-3 ยูนิตๆ ละ 10 ล้านบาท และภายในปีนี้ อาจจะมีไปโรดโชว์ที่ฮ่องกงด้วย
ขณะที่ สรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปีนี้จะนำโครงการมหานคร ไปโรดโชว์ต่างประเทศ เพราะเห็นว่าฝั่งเอเชียให้ความสนใจคอนโดมิเนียมในไทยมาก ด้วยราคาที่ยังถูกกว่าสิงคโปร์ โดยหลังจากไปโรดโชว์ที่ฮ่องกงมาแล้ว สามารถปิดการขายได้ 7 ยูนิต มูลค่า 240 ล้านบาท ยังเตรียมนำโครงการดังกล่าวไปโรดโชว์ที่ตะวันออกกลาง เช่น เมืองอาบูดาบี และ เมืองดูไบ อีกด้วย
credit
ที่มาของข่าว : กรุงเทพธุรกิจ : 9 เมษายน 2556
ที่มาของภาพ : กรุงเทพธุรกิจ : 9 เมษายน 2556
http://www.bangkokbiznews.com