พฤกษา ประกาศผลประกอบการ Q1 ปี 2560 กวาดยอดพรีเซล 13,303 ล้าน เติบโต 35.6% YoY เมื่อเทียบกับปีก่อน
· ~ 1 min readพฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) เปิดผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2560 ทำยอดขายพรีเซลเพิ่มขึ้น 35.6% มูลค่ากว่า 13,303 ล้านบาท แต่รายได้ลดลง 21.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2559 เนื่องจากรอบการโอนของคอนโดมิเนียมยังมาไม่ถึง โดยเตรียมทยอยโอนโครงการใหญ่อีก 3 โครงการ ในไตรมาส 2 และ 3 ได้แก่ Chapter One Midtown, The Tree Rio และ Plum Condo Chaengwattana
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2560 ว่า “บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 13,303 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 35.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่มีรายได้ 9,809 ล้านบาท จากยอดขายที่เติบโตเพิ่มสูงขึ้นมาจากการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า คือ The Tree Sukhumvit 71 มียอดขายแล้ว 61.5% และ The Reserve Thonglor ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันได้ปิดการขายแล้วทั้งโครงการ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้ 8,072 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 681 ล้านบาท”
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แผนการรุกตลาดพรีเมียมในปีนี้ บริษัทฯ ใช้ Business Model ใหม่มาพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยเน้นรูปแบบความแปลกใหม่ เพื่อสร้างสีสันและความแตกต่างให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้ชัดเจนจากการเปิดตัวคอนโดมิเนียม “The Reserve Thonglor” ซึ่งเป็นโครงการระดับมาสเตอร์พีชโครงการแรกของ พฤกษา เรียลเอสเตท เพียงสองอาทิตย์สามารถปิดการขายได้ทั้งโครงการ มูลค่า 1,830 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการ “Chapter One Shine Bangpo” คอนโดมิเนียมบนวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สวยที่สุด ที่เปิดขายอย่างไม่เป็นทางการเพียง 1 สัปดาห์ กวาดยอดขายไปแล้วกว่า 60% คิดเป็นมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท พร้อมสร้างกระแสในโลกออนไลน์ ด้วยยอดวิวของไวรัลคลิป (Viral clip) “MV หนุ่มบางโพ 2017” ด้วยยอดเข้าชมใน Facebook และ YouTube กว่า 1.5 ล้านวิว ภายใน 1 สัปดาห์ ก่อนการเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 27-28 พ.ค.นี้ และด้วยกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า จึงคาดว่าจะสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้”
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2560 เป็นต้นมา จัดเป็นปีของดีเวลลอปเปอร์เจ้าใหญ่และเป็นกลุ่มตลาด luxury segment โดยตลาดของคอนโดมิเนียมราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เติบโตขึ้นจากปี 2559 ในช่วงเวลาเดียวกันถึง 38% โดยแม้จะมีจำนวนยูนิตเปิดขายไม่มาก คิดเป็นเพียง 4% ของยูนิตเปิดขายทั้งหมด แต่มีมูลค่ารวมสูงถึง 29% ของมูลค่าที่เปิดขายตั้งแต่ต้นปี 2560 ซึ่งมองว่าการที่ยอดขายโครงการต่างๆ ทำได้ดีนั้นเกิดจากการที่ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่สามารถสร้างดีมานด์ขึ้นมาได้เอง และดีมานด์ก็จะมีความกระจุกตัวอยู่ในเฉพาะบางทำเล ไม่ได้เป็นไปในภาพกว้าง ทั้งนี้ยังเชื่อว่าในไตรมาส 2 และ 3 จะมีโครงการทยอยเปิดตัวอีกอย่างคึกคัก
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 1 กลุ่มธุรกิจแวลู เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 11 โครงการ และมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 55 โครงการ ตามแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ รวม 66 โครงการคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 59,300 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 บริษัทฯ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (Active Projects) ทั้งหมดอยู่อีก 168 โครงการ มูลค่า 83,736 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ของกลุ่มธุรกิจแวลูอยู่ที่ 23,611 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 12.8% นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ “กลยุทธ์ Pruksa 4.0” มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ใน 4 ด้าน มาใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย คือ
- 1) Smart – Product พัฒนาสินค้าแบบ HVA (High Value Added)
- 2) Smart – Marketing เน้นการใช้ Digital Marketing
- 3) Smart – Service พัฒนา Home Service Application
- 4) Smart – Construction ด้วยการใช้ E-Construction
ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับมอบบ้านที่ดีที่สุดจากพฤกษา เรียลเอสเตท นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบการทำงานภายในองค์กร เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ในไตรมาสแรกของปี 2560 พฤกษา โฮลดิ้ง มีอัตรากำไรขั้นต้น 34.3% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 32.9% แต่ยังมีอัตรากำไรสุทธิเพียง 8.4% ซึ่งลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่สามารถทำได้ 12.1% และเชื่อว่าหลังจากผ่านไตรมาส 2 และ 3 ไป ตัวเลขอัตรากำไรขั้นต้นจะสามารถกลับมาเป็นตัวเลข 2 digit ได้แน่นอน เนื่องจากบริษัทฯ ยังมี Backlog อยู่อีกถึง 13,800 ล้านบาท