บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบรนด์แมกโนเลียส์ (Magnolias) และวิสซ์ดอม (Whizdom) เปิดตัวระบบการปฏิบัติการ FULLY- INTEGRATED HOME INTELLIGENT SYSTEM FOR WELL-BEING นวัตกรรมบ้านอัจฉริยะที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ ความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์แบรนด์ที่ว่าด้วยเรื่อง ‘Sustainnovation’ อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรม การบูรณาการ ระบบบ้านอัจริยะ (Home Intelligent System) ที่เน้นการส่งเสริมด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยผ่านการพัฒนาระบบคุณภาพอากาศภายในโดยใช้ ERV หรือ ที่เรียกว่า Energy Recovery Ventilation ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกนวัตกรรมที่เป็นไฮไลท์สำคัญของระบบบ้านอัจฉริยะ ที่ช่วยให้เกิดการถ่ายเท หมุนเวียนอากาศที่ดีเข้ามาในที่อยู่อาศัยเพื่อเพิ่มปริมาณอ็อกซิเจนในห้องปรับอากาศให้เหมาะสมกับปริมาณผู้ที่อยู่อาศัย ระบบ Home Intelligent System จะเริ่มนำมาติดตั้งในโครงการ วิสซ์ดอม สเตชั่น รัชดา-ท่าพระ (Whizdom Station Ratchada-Thapra) ที่จะเปิดในช่วงไตรมาส 3 ปี 2561 เป็นโครงการแรก ซึ่งจะเป็นโครงการแรกในประเทศไทย และของ MQDC ที่ติดตั้งระบบพัฒนาคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality -IAQ)
ดร.จิตพัต ฉอเรืองวิวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (The Research and Innovation for Sustainability Center– RISC) บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า จากงานวิจัยพบว่า การอยู่ในห้องปรับอากาศ เป็นเวลานานจะส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากในห้องปรับอากาศนั้นจะมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการหายใจออก การเผาผลาญของร่างกาย ของผู้อยู่อาศัยในห้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อร่างกาย โดยส่งผลให้มีอาการเพลีย ง่วงนอน ปวดศรีษะ และเหนื่อยง่าย รวมถึงมีผลต่อการตัดสินใจ และประสิทธิภาพการทำงาน
ขณะที่ ระบบ ERV (Energy Recovery Ventilation) เป็นเทคโนโลยีที่เป็นไฮไลท์สำคัญของ Home Intelligent System โดยระบบ ERV จะทำงานสัมพันธ์กับระบบอื่นๆ ของระบบเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ (Home Intelligent System) จะช่วยถ่ายเทให้ห้องที่เราอยู่มีอากาศที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นและมีผลดีต่อสุขภาพ โดยระบบนี้จะตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในห้องนอนและห้องนั่งเล่นตลอดเวลา หากพบว่ามีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 มากกว่าที่กำหนดไว้ ระบบจะทำการเชื่อมโยงอัตโนมัติไปยังเครื่อง ERV เพื่อเติมอากาศจากด้านนอกเข้ามาภายในห้อง และนำอากาศในห้องออกสู่ภายนอกบ้าน/อาคาร จนสภาพอากาศมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลดน้อยลงจนเหมาะกับการพักผ่อนที่มีคุณภาพ
“ทุกวันนี้เราอยู่ในห้องแอร์ปรับอากาศแทบจะตลอดเวลา ทั้งเวลาทำงาน ที่บ้าน ห้องนอน ซึ่งห้องปรับอากาศส่วนใหญ่จะไม่มีระบบอากาศหมุนเวียนจากภายนอกเข้ามา ทำให้เราหายใจเอาอากาศเก่าเข้าร่างกายตลอดเวลา ทำให้เรารับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งในเบื้องต้น ร่างกายจะไม่แสดงอาการอะไรออกมา จนกว่าจะเกิดการสะสมในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ มากมายเช่นความจำเสื่อมของผู้สูงวัย หรือสมองพัฒนาล่าช้าสำหรับวัยเด็ก ฯลฯ หากใครที่ไม่มีระบบ ERV ก็สามารถเติมอ๊อกซิเจนเข้ามาในห้องนอนได้ ด้วยการแง้มประตู กระจก หรือเปิดเครื่องดูดอากาศในห้องนอนให้อากาศจากด้านนอกมีโอกาสไหลเวียนเข้ามาในห้องนอนเพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ทั้งนี้ระดับค่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นระดับมาตรฐานที่จะมีผลกระทบน้อยต่อสุขภาพคือที่ระดับต่ำกว่า 1000 ppm (1 PPM =1 part per million หรือ 1 1 000 000 ส่วน)” ดร.จิตพัต กล่าว
ทางด้าน คุณทรงพล พลรัฐ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ MQDC กล่าวว่า เรายังมีอีกระบบที่น่าสนใจคือระบบ Energy Measurement Unit หรือ EMU ซึ่งเป็นระบบแสดงผลอัตโนมัติ ผ่าน Smart Devices ต่างๆ ที่รายงานค่าการใช้พลังงานไฟฟ้า รายวัน รายเดือน และรายปี อีกทั้งยังสามารถตั้งเป้าหมายการใช้พลังงานในแต่ละเดือนได้ด้วยว่า จะจำกัดการใช้พลังงานไว้ที่งบประมาณเท่าไร โดยระบบจะแจ้งเตือนและแสดงให้เห็นปริมาณการใช้พลังงานเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนัก การใช้พลังงานอย่างเหมาะสม และสนุกไปกับการประหยัดการใช้พลังงาน ที่เห็นผลลัพธ์ซึ่งจับต้องได้ในทุก ๆ วัน อีกด้วย
ทางด้านคุณพลณัฏฐ์ เฉลิมวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอโบตรอนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซี่งเป็นพันธมิตรกับ MQDC ในการร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมรวมทั้งการออกแบบระบบเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ Home Intelligent System เปิดเผยว่า บทบาทหน้าที่ของโอโบตรอนส์คือ การนำงานวิจัยที่คิดค้นได้จากศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (The Research and for Innovation Sustainability Center – RISC) มาดำเนินต่อทำให้เป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาและออกแบบระบบและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบายและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นออกมาอีกมากมายอย่างแน่นอน