รีวิวคอนโด Life รัชดาภิเษก
· 4 min readรีวิวคอนโดชิ้นนี้เราพาไปดูโครงการ Life Ratchadapisek (ไลฟ์ รัชดาภิเษก) ของ AP ซึ่งอยู่ระหว่างสถานี MRT ห้วยขวางและสุทธิสารครับ เริ่มจากมาดูข้อมูลโครงการกันก่อนดีกว่า
“Life Ratchadapisek”
เริ่มเดินทาง ดูทำเล
“Life Ratchadapisek” ตั้งอยู่บนถนนรัชดาฝั่งขาเข้า ถ้านั่ง MRT ก็ให้มาโผล่ที่สถานีห้วยขวางแล้วเดินย้อนมาทางสุทธิสารประมาณ 400 เมตรครับ ทางเท้ากว้างเดินง่าย มีฝาท่อกับอิฐตัวหนอนที่กระเดิดให้ฝึกทักษะหลบกันนิดหน่อย มีร่มไม้บางช่วง บางช่วงก็ไม่มี แต่ถ้ามาเที่ยงๆบ่ายๆก็พกร่มมาด้วยนะครับ ส่วนถ้าหากขับรถก็มาได้สองทางจากลาดพร้าว,รัชโยธิน และจากทางพระราม 9 เพื่อให้เห็นเส้นทางง่ายๆเข้าเลยทำแผนภาพมาให้ดูกัน
แต่ถึงแม้จะขับรถมา พอดูโครงการเสร็จ ผมก็แนะนำให้จอดรถทิ้งไว้ก่อนแล้วลองเดินเล่นไป-กลับสถานี MRT ห้วยขวางดูครับ ว่าถ้าใช้งานจริงแล้วระยะทางโอเคหรือไม่ 400 เมตรสำหรับบางคนอาจว่าเหนื่อยขี้เกียจเดิน บางคนก็อาจจะชิลๆ โดยพิกัดโครงการอยู่ที่ >> 13.7829619,100.5723985
เอาหล่ะ …. พอมาถึงโครงการแล้ว ก็ลองมาดูกันหน่อยว่ารอบๆโครงการมีอะไรกันบ้าง ไปลอยตัวดูจากด้านบนนะครับจะได้เห็นรอบๆ แล้วก็ดูตามเลขได้เลยว่าตรงไหนเป็นอะไร
เปิดประตู ดูโครงการ
พอดูรอบๆเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเดินเข้าสำนักงานขายกันครับ พอเข้ามาปุ๊ปก็จะเห็นทางเข้าตกแต่งด้วยซุ้มโครงเหล็กโปร่ง มีบ่อน้ำกับต้นไม้แซมๆ ให้บรรยากาศเดียวกับรูปตัวอย่างของสวนด้านหน้าโครงการครับ แต่ของจริงเดี๋ยวเขาจะรื้อสร้างใหม่ตอนตึกใกล้เสร็จอีกที ถ้าลงต้นไม้ได้ครึ้มๆแบบในรูปก็น่าจะช่วยสกรีนเสียงลดและควันจากถนนด้านหน้าได้พอควรแหละ
เปิดผังโครงการ
ดูทิศ มองแดด รับลม
ทีนี้เรามาดูรายละเอียดโครงการกันมั่งดีกว่าครับ เริ่มจากผังโครงก่อน…
ตัวคอนโดนั้นมี 2 ทาวเวอร์ แต่ใช้โพเดียมด้านล่างร่วมกัน วางตัวตึกในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ซึ่งจะทำให้ห้องที่อยู่ทิศใต้ของ Tower B นั้นรับแดดเต็มๆเกือบทั้งวัน และทิศใต้ของ Tower A ก็รับแดดบ่ายด้วย(แดดเช้า Tower B ช่วยบังให้พอสมควร) ตอนแรกถ้าไปดูที่โครงการตอนนี้จะเห็นว่าวิวทางทิศใต้โล่งครับ แต่ยังไม่ต้องดีใจไปเพราะกำลังจะมี The Centric ของ SC Asset อีกตัวขึ้นมาประจันหน้าเลย อันนี้คงต้องไปลุ้นกันว่าแนวอาคารของ The Centric จะออกมาในรูปไหน และจะบังวิวทิศใต้ของ Life รัชดาภิเษก ไปแค่ไหน ส่วนทิศเหนือของทั้งสองตึกจะดีตรงที่ร่มครับ แต่พอมองไปปุ๊ปก็จ๊ะเอ๋กับตึกโรงแรมเดอะแกรนด์อยุธยา วิวเลยดูอึดอัดไปพอควร
ลองมาดูแปลนแยกแต่ละอาคารกันบ้างครับ สังเกตุด้านทิศใต้ของทั้ง Tower A และ B เส้นครีบแนวตั้งของอาคาร(ลูกศรชี้) นั้นยื่นยาวออกมาจากผนังมากกว่าด้านทิศเหนือพอสมควร ประโยชน์ของเส้นครีบนี้นอกจากการตกแต่งหน้าตาอาคาร มันยังช่วยทำหน้าที่เป็นแผงบังแดดแนวตั้งด้วย เรียกว่าคิดมาสำหรับให้เหมาะกับตำแหน่งและทิศทางห้องเลยทีเดียว (ห้องที่ต้องรับแดดเต็มหน่อยก็จะมี A3 กับ A4 ซึ่งเป็น 1 bedroom ครับ)
ในแต่ละชั้นนั้นจะมีห้องทุกแบบรวมกันหมดโดยแบบ 2 bedrooms จะอยู่ตรงมุมของอาคาร ที่ต้องสังเกตคือห้อง 2 bedrooms C9 กับ C15 ครับ เพราะแม้จะเป็นห้องมุมอาคารแต่จะมีด้านนึงที่หันไปจ๊ะเอ๋กับตึกตรงข้าม ทำให้วิวโล่งๆนั้นจะเห็นแค่ด้านเดียวอีกด้านจะมองเห็นผนังและหน้าต่างของโถง ลิฟต์ เวลาดูในแปลนของโบชัวร์อาจจะไม่ทันสังเกตุเพราะว่ามันพิมพ์แยกมาคนละแผ่น นั่นเอง ต้องลองเอามาวางซ้อนกัน
ในแนวเส้นประแบบที่ผมทำให้ดูข้างบนครับถึงจะเห็นระยะจริงๆ มุมมองที่ซ้อนกันอยู่
ดูพื้นที่ส่วนกลาง ความเพียงพอในการใช้งาน
เริ่มจากเรื่องลิฟต์กันก่อนแล้วกันครับ โครงการจัดมาให้ทาวเวอร์ละ 4 ตัวครับ เป็นลิฟต์โดยสาร 3 และ service lift อีก 1 ตัว พอหารเฉลี่ยคร่าวๆออกมาได้ประมาณ 139 ยูนิต/ลิฟต์ 1 ตัวครับ ดูจำนวนแล้วอาจจะน้อยไปซักหน่อย (ปกติจำนวนลิฟต์ที่เหมาะสมสำหรับอาคารพวกคอนโดมิเนียมนับเป็นจำนวนคนก็จะอยู่ที่ประมาณ 80-120 คน/ลิฟต์ 1 ตัว แล้วแต่ระดับราคาครับ เรียกว่ายิ่งจ่ายแพงก็ไม่ควรต้องให้รอนาน ถ้าจะบอกว่าเพียงพอหรือไม่คงต้องดู spec ของลิฟต์ว่าใช้ความจุและความเร็วเท่าไหร่มาประกอบกันครับ เพราะวิศวกรจะคำนวณให้รองรับคนในช่วง Peak Hour ได้เหมาะสมกับตัวเลข Benchmark ของอาคารแต่ละประเภท ดูแค่จำนวนลิฟต์กับจำนวนห้องแล้วเอามาหารกันอย่างเดียวไม่ได้นะครับ 😛 )
จากนั้นก็มาดูเรื่องพื้นที่ส่วนกลางกันบ้าง สวนใหญ่ๆนั้นจะมีด้านหน้าอาคารชั้น 1 กับ หลังคาส่วนจอดรถทั้ง 8 ครับ ส่วนสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และห้อง Stream นั้นดีตรงที่แยกไว้บนดาดฟ้าของทั้ง 2 ทาวเวอร์ จะได้ช่วยกระจายคนไม่ให้มาแออััดที่เดียวกันได้ นอกจากนี้บนดาดฟ้าก็ยังมีสวนพักผ่อนเล็กๆให้ด้วย แบบสระก็ตามในภาพด้านล่างนี่เลยครับ
เปิดแปลน ดูห้อง มองสเปซ
ห้องจะมีหลักๆอยู่ 4 แบบนะครับ คือ 1 bedroom 31 ตารางเมตร และ 38 ตารางเมตร , 1 plus 1 (เป็นชื่อที่โครงการตั้งขึ้นครับ) ห้องที่เพิ่มขึ้นมาเป็นเหมือนห้องอเนกประสงค์ และแบบสุดท้าย 2 bedrooms ซึ่งแบบนี้ไม่มีห้องตัวอย่างให้ดูนะครับ
มาเริ่มกันที่ห้อง 1 bedroom กันก่อนครับ ห้อง 1 bedroom โครงการทำมา 2 ขนาด โดยวางห้องนอนและครัวอยู่ด้านนอกทั้งหมด นอกจากขนาดพื้นที่แล้ว สิ่งที่แตกต่างกันคือแบบ 31 ตร.ม.นั้นตำแหน่งห้องครัวกับห้องน้ำนั้นจะอยู่คนละด้านกัน แต่แบบ 38 ตร.ม. จะอยู่ด้านเดียวกัน ซึ่งจากที่ผมเข้าไปดูมาพบว่าเวลาเข้าไปยื่นตรงโถงของทั้ง 2 ห้อง บริเวณ living area (ตำแหน่งตามกราฟฟิกในรูป) แบบ 38 ตร.ม. นั้นให้ความรู้สึกโปร่งกว่าค่อนข้างมาก เพราะมองผ่านไปเจอกระจกใสที่กั้นห้องนอนทั้งหมด ไม่เจอผนังกั้นห้องนอนกับครัวเหมือนในแบบ 31 ตร.ม. ครับ แถมห้องนอนของแบบ 38 ตร.ม. นี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องนอนของแบบ “1 plus 1 ที่มีขนาด 45 ตร.ม.” ด้วยซ้ำไปครับ เลยยิ่งทำให้ดูกว้าง
ต่อมาก็เป็นแบบ 2 Bedrooms ที่มีห้องนึงเปลี่ยน function ได้ โครงการตั้งชื่อว่า 1 plus 1 ครับ ขนาด 45 ตร.ม. ซึ่งก็จะแบ่งเป็น 2 แบบ คือ “Sky Kitchen” และแบบ “Sky Living” ในห้องตัวอย่างที่จัดไว้จะเป็นแบบ Sky Kitchen
จุดขายของห้องนี้คือพื้นที่อเนกประสงค์ที่มีเตียงกับโต๊ะพับเก็บไว้กับผนังได้ หรือจะเก็บเป็นห้องโล่งก็ได้ครับ ใช้งานได้ดีเลยแหละ ทั้งสองแบบนี้ให้ห้องนอน, ห้องน้ำ ในขนาดที่เท่ากัน ต่างกันตรงการสลับเอา living area กับห้องครัวมาไว้ด้านนอก ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมว่าถ้าไม่ใช่หมึกแดงมาซื้อคอนโดอยู่เองแล้วทำผักกะเพราทุกวัน แบบ sky living ดูจะ “เวิร์ค” กว่าครับ เพราะพอเปิดประตูเข้าห้องมา จะเห็นสเปซทั้งส่วนรับประทานอาหารเชื่อมต่อไปยังส่วนพักผ่อนได้เลย โล่งกว่าเยอะ ส่วน living area ก็ไม่อึดอัด
ห้องตัวอย่างที่จัดโชว์ ไว้ในสำนักงานขายเป็นแบบ Sky Kitchen ครับ เวลาเข้าไปแล้ว ผมแอบเสียดายพื้นที่โถงกลางโล่งๆตรงที่ผมวงเส้นประสีไว้ครับ เพราะมองไปเห็นพื้นที่ส่วน living ถูกบีบให้เล็กนิดเดียวไปอัดอยู่ตรงมุม แต่ดันเหลือโถงโล่งๆตรงกลางซะเยอะเมื่อเปรียบเทียบกัน มองในแปลนอาจจะเฉยๆต้องลองไปยืนดูครับ ผมว่าสู้เอามารวมกันเป็นชิ้นเดียวแบบ Sky Living สวยกว่า เพราะส่วนพักผ่อนก็ไม่อึดอัดด้วย
อ่อ แล้วก็เกือบลืมจุดเด่นอีกอย่างนึงของห้องแบบนี้คือ “ห้องน้ำ” ครับ มีการกั้นส่วนโถสุขภัณฑ์แยกต่างหาก เวลาคุณสามีนั่งปลดทุกข์เช้าๆแล้วคุณภรรยาอาบน้ำไปด้วยก็สะดวกดี ไม่ต้องต่อคิวกัน
สุดท้ายก็แบบ 2 ห้องนอนครับ ซึ่งจะอยู่บริเวณมุมตึกทั้งหมด ไม่มีห้องตัวอย่างให้ดู แต่มองจากแปลนแล้วจัดได้ลงตัวน่าอยู่ดีครับ ดูแปลนของส่วนที่เป็น Master Bedroom แล้วคล้ายๆกับ Master Bedroom ของแบรนด์ Rhythm เหมือนกัน แถมห้องน้ำใน Master Bedroom ยังเป็น Sexy Bathroom ด้วย
เปิดห้องตัวอย่าง ชมวัสดุ
“Focus on Materials”
เรามาดูเรื่องวัสดุกันบ้างครับ ห้องทุกแบบนั้นให้วัสดุแบบเดียวกัน เพื่อให้ดูง่ายเข้าผมเลยแบ่งเรื่องวัสดุในห้องออกเป็น 3 ส่วน คือ ห้องครัว, ห้องน้ำ และวัสดุทั่วไปซึ่งรวมถึงวัสดุปิดผิว(finishing materials)ด้วยครับ โดยโครงการ Life รัชดาภิเษก นี้ห้องที่ให้มาเป็น Fully-Furnished พร้อมเข้าอยู่เลยครับ แต่คุณภา
พของวัสดุโดยรวมยังค่อนข้างเฉยๆในความคิดผมเมื่อเทียบกับระดับราคานะครับ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ลองไปดูรูปกันดีกว่า
เปิดห้องตัวอย่าง ดูอินทีเรีย
“Focus on Space and Dimension”
1 bedroom : 31 ตร.ม.
1 bedroom : 38 ตร.ม.
2 bedrooms (1 plus 1) : 45 ตร.ม.
เปิดกระเป๋า ดูสตางค์
โครงการ Life รัชดาภิเษกนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2554 ซึ่งตอนนั้นราคาเปิดเริ่มต้นของห้องต่ำสุดอยู่ที่ 84,500 บาท/ตร.ม. พอขายล่วงเลยมาถึงช่วงที่ทำรีวิวนี้ ราคาเริ่มต้นเลยถูกปรับขยับขึ้นไปพอสมควรครับ ถ้าสังเกตดูช่วงราคาจะพบว่าราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรของห้องบนๆของชั้นสูงสุดที่ AP ปรับแล้วนั้นจะต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของตัวต่ำสุดชั้นล่างๆของ “Noble Revolve รัชดา” ตรงสถานีศูนย์วัฒนธรรมที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อมกราคมที่ผ่านมาอยู่หน่อยนึง เพื่อไม่ให้ไปทับ Segment กันนั่นเอง
ดูจากผังแล้ว ในแบบ 1 bedroom นั้นโครงการมีห้องแบบ 31 ตร.ม. มากกว่า 38 ตร.ม. ประมาณเท่าตัว ส่วนหนึ่งก็คงเพราะพอคิด
แล้วกลางคืนจะได้ยินเสียงดังจากmansion7ไหมคะ
สวยดี ลงตัวดี น่าสนมาก
รีวิวดีครับ มีลงทุนมาแปะfloor plan เพิ่มเองด้วยครับ ชื่นชมๆ^^ เว็บดีๆแบบนี้รับรองแปปเดียวsponser bannerมาตรึมครับ 🙂
Awesome review
อ๋อ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณคุณ yusabuy ครับ
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือมีห้องทางทิศใต้นะครับ แล้วกลัวจริงๆครับเรื่องความร้อนนะฮะ
เป็นกำลังใจให้กับรีวิวครั้งต่อๆไปครับ
ไม่เข้าใจเรื่องแสงแดดที่บอกเข้าทิศใต้เต็มๆครับ งงครับ เพราะ ดวงอาทิตย์ มาจากซ้ายและขวา แล้วยังงี้ทิศเหนือไม่โดนเหมือนกันเหรอครับ!
ดูตามแปลนของโครงการตัวตึกไม่ได้วางตัวแนวตะวันออก-ตะวันตกเป๊ะๆ แต่จะวางตัวเฉียงๆ เพราะฉะนั้นทิศเหนือน่าจะโดนแดดเช้าแบบเฉียงๆ ทิศใต้โดนแดดบ่ายแบบเฉียงๆ
ขออธิบายเพิ่มเติมแบบนี้ครับ
โดยธรรมชาติของแดดแล้วมาจากทั้งทิศตะวันออกและตะวันตก(ซ้ายและขวา) แถมอ้อมมาทางเหนือด้วยก็จริง
แต่จากตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยเนี๊ย ทิศทางของแดดจะอ้อมไปทางเหนือนิดเดียวครับ(เพราะไทยอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร แดดเลยมาทางใต้เป็นหลัก และแดดที่อ้อมไปทางเหนือจะทำมุมองศาไม่ต่ำมาก เวลาออกแบบพวกแผงบังแดดจึงไม่ต้องมีระยะยื่นออกไปเยอะมาก) หลักๆแดดจึงจะมาทางใต้มากกว่า และมีช่วงเวลายาวนานกว่า(นับระยะเวลาตลอดทั้งปี) เราจึงต้องคำนึงทิศทางของแดดทางใต้มากกว่าทางเหนือครับ…. ซึ่งเรื่องตำแหน่งตัวอาคารก็แบบที่คุณ NaraNew ช่วยเสริมครับ ทิศใต้ของ Life รัชดาภิเษกจะโดนแดดบ่ายมาเฉียงๆ จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมทิศใต้จึงรับแดดเต็มๆ
ที่นี้ประเด็นที่ถามเพิ่มคือ ทำไมดวงอาทิตย์มาจากทางซ้ายและทางขวา แต่ผมเลือกวิเคราะห์โดยสนใจแดดทางซ้าย(แดดบ่าย)มากกว่า เพราะว่าแสงแดดตอนบ่ายมีอุณภูมิและความร้อนสูงกว่าตอนเช้ามากครับ(ลองนึกภาพว่าเราตากแดดตอน 10 โมงเช้า กับตากแดดตอนบ่าย 2 โมงนะครับ) แดดที่มาจากช่วงบ่ายอุณหภูมิสูงกว่าเยอะ) จึงต้องคำนึงเป็นพิเศษครับ เพื่อเวลาอยู่อาศัยจะได้สบายกว่าครับ
^_____^
มีอะไรถามเพิ่มเติมได้นะครับ
คุณ yusabuy อธิบายชัดเจนดีครับ ขอบคุณมากๆ
ห้องผม A4 ตึก B ตามรีวิวเลยครับ อาจจะโดนแดดเยอะหน่อย แต่ไม่สาดเข้ามาตรงๆ ก็โอเคแล้วครับ ^_^
ปล.ทำรีวิวได้น่าอ่าน ภาพประกอบสวยงาม เป็นกำลังใจให้ทำรีวิวดีๆ ต่อไปครับ จะคอยติดตาม
รีวิวได้ดีค่ะ เปนกำลังใจให้ค่ะ
ขอบคุณครับ
จะทยอยรีวิวเรื่อยๆ ตามมาอ่านกันบ่อยๆนะครับ ^____^
น่าจะมีรูปอาคารด้วย
ใส่เพิ่มเติมให้แล้วครับ : )
ยอมเยี่ยม
ยอดเยี่ยม*
ดีค่ะ.
น่าสนใจมากเลยครับ จะติดตามไปเร่ือยๆนะครับ
Good job
Good review