บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) โชว์ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของปี 2563 สร้างรายได้รวม 1,855 ล้านบาทและกำไรสุทธิจำนวน 303 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 125% และ 84% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นรายได้ที่เกิดจากการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่และโครงการใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 714 ล้านบาท พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1.10 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนกว่า 10%
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้รายได้และผลกำไรสุทธิของบริษัทฯ เติบโตขึ้นในไตรมาส 2 ปีนี้ มาจากยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นจำนวน 1,752 ล้านบาท ได้แก่
- โนเบิล รีโคล สุขุมวิท 19 (Noble Recole)
- โนเบิล บี เทอร์ตี้ทรี (Noble BE33)
- โนเบิล เพลินจิต (Noble Ploenchit)
- โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา (Noble Revolve Ratchada)
- โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 2 (Noble Revolve Ratchada 2)
- โนเบิล อเบิฟ ไวร์เลส-ร่วมฤดี (Noble Above Wireless-Ruamrudee)
- โนเบิล เกเบิล คันโซ วัชรพล (Noble Gable Kanso Watcharapol)
- โนเบิล รีโว สีลม (Noble Revo Silom)
- โนเบิล รีเวนต์ (Noble Revent)
รวมถึงยังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจาก แคมเปญ RESET PRICE, RESUME LIFE ที่รวมคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า ราคาพรีเซล ขายผ่านระบบออนไลน์ (Online Booking) ซึ่งสามารถกวาดยอดขายได้แบบถล่มทลายกว่า 1,600 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่แบรนด์ NUE อย่างต่อเนื่อง โดยทั้งปีตั้งเป้าเปิดโครงการ NUE อย่างน้อย 3 โครงการเพื่อรุกตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ มูลค่าโครงการรวมมากกว่า 5,000 ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ NUE บนทำเลศักยภาพติดรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
โครงการแรกที่ได้เปิดตัวไปแล้วในปีนี้ ได้แก่ “นิว โนเบิล งามวงศ์วาน” สร้างยอดขายรวมเฉพาะตลาดคนไทยแล้วกว่า 1,000 ล้านบาทจากการเปิดจองรอบพิเศษที่สำนักงานขายและรอบการจองออนไลน์ คิดเป็นประมาณ 55% ของมูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท สร้างความมั่นใจให้กับบริษัทฯ ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยในภาวะเศรษฐกิจหลังโควิด-19
ต่อด้วยโครงการ “นิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว” มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแรกที่โนเบิลฯ ร่วมมือกับ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่ม บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในอัตราส่วน 50:50 เพื่อร่วมทุนพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า 2 สาย รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน สถานีลาดพร้าว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีรัชดา ที่เพิ่งเปิดตัวได้เพียง 2 สัปดาห์ก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยกวาดยอดขายไปแล้วมากกว่า 470 ล้านบาท
ณ ตอนนี้บริษัทฯ ได้เตรียมเดินหน้าเต็มกำลัง พร้อมรุกต่อกับโครงการ “นิว โนเบิล ไฟฉาย-วังหลัง” ใจกลางทำเลแยกไฟฉาย-วังหลัง เพียง 80 เมตรจากสถานีไฟฉาย มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท โดยได้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ในส่วนของตลาดต่างประเทศ นายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม กล่าวว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายจากตลาดต่างประเทศโดยสามารถทำยอดได้กว่า 4,400 ล้านบาท ภายในช่วงเวลา 18 เดือนตั้งแต่ปี 2562 โดยในปีนี้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายไปได้แล้วกว่า 900 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ 34% ของส่วนแบ่งตลาดต่างประเทศทั้งหมดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ซึ่งในปีนี้แม้มีผลกระทบจากเศรษฐกิจช่วงโควิด-19 แต่บริษัทฯ ยังสามารถครองความเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศด้วยการสร้างยอดขายจากกลุ่มลูกค้าชาวเอเชียอย่างต่อเนื่อง
โดยบริษัทฯ เริ่มมองเห็นสัญญาณที่เป็นบวกหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายในประเทศจีนซึ่งถือเป็นประเทศที่สภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วที่สุด และฮ่องกง ซึ่งมีการมองหาอสังหาฯ ในประเทศไทย เพื่อการลงทุนและเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ขณะที่ไต้หวันและสิงคโปร์เป็นอีกสองตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูงที่บริษัทฯ มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายธงชัย ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ด้วยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 และผลกำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ที่เป็นไปตามเป้าหมาย คณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติจากที่ประชุมครั้งที่ 6/2563 วันที่ 13 สิงหาคม 2563 ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลประกอบการครึ่งปีแรกประจำปี 2563 จำนวน 1.10 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 28 สิงหาคม 2563 และคาดว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลภายในกันยายนนี้
การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพของทีมผู้บริหารภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นชุดปัจจุบันหลังการปรับเปลี่ยนเมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้ทั้งปีมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายพรีเซลไปแล้วกว่า 4,000 ล้านบาทจากโครงการที่เปิดใหม่และโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่
ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้ที่รอการรับรู้ (Backlog) อีกกว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จนถึง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าทำตลาดออนไลน์อย่างเต็มที่ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่มากยิ่งขึ้น นายธงชัยได้กล่าวสรุปปิดท้ายเอาไว้