กรุงเทพฯ (21 ก.ย. 59) – บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดตัว “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่” (Baan Klang Muang CLASSE) Super Luxury Villa 3 ชั้น เพื่อรุกตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบไตรมาส 4/2559 ของ AP นำเสนอความต่างด้วยการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ภายใต้แนวคิด ‘Multiverse Layouts’ การออกแบบพื้นที่ที่คำนึงถึงรูปแบบการใช้ชีวิตในแนวตั้งและแนวนอนไปพร้อมๆ กัน สร้างมิติใหม่ให้กับพื้นที่ใช้สอยและการเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ 3 ชั้นได้อย่างไร้รอยต่อ ตอบสนองความต้องการใช้ชีวิตที่หลากหลายของคน 3 ช่วงวัยในครอบครัว มอบความเป็นที่สุดของการใช้ชีวิตหรูหรามีระดับ ผสมผสานกลมกลืนกับธรรมชาติในบรรยากาศส่วนตัว และการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่เพิ่มเติมพื้นที่ให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น
บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ พร้อมเปิดตัวเป็นที่แรกกับ “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา” โดยในเฟสแรกพร้อมนำเสนอซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่า 3 ชั้น จำนวน 2 โมเดล ได้แก่ MONTE และ ETHNA 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น พร้อมที่จอดรถ 3 คัน พื้นที่ใช้สอย 346-454 ตารางเมตร จำนวน 56 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท เตรียมเปิดขายช่วง pre-sale วันที่ 19-20 พฤศจิกายนนี้ ณ Sale Gallery โครงการ
“บ้านกลางเมือง Classe เอกมัย – รามอินทรา” จัดเป็นโครงการแรกที่เอพีนำวิสัยทัศน์การใช้ชีวิตแบบ ‘Digital Community’ มาใช้จริงอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก โดย AP Digital Community จะเข้ามาส่งเสริมให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไป ผ่านการสอดผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย เข้ากับแนวคิด IoT (Internet of Things) ที่ว่าระบบและอุปกรณ์ต่างๆ สามารถสื่อสารถึงกันได้ โดยมีเป้าหมายคือช่วยกันทำงาน เพื่อให้รูปแบบการใช้ชีวิตสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเอพีได้วางระบบสมองกลอัจฉริยะไว้เป็นคีย์สำคัญที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ทุกชิ้นภายในบ้านให้สามารถสื่อสารและประมวลผลร่วมกัน รวมถึงการผสานนวัตกรรมระบบสั่งการด้วยเสียง ที่นอกจากจะควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านเสียงแล้ว ระบบนี้ยังทำงานร่วมกับสมองกลอัจฉริยะที่พัฒนาขั้นสูงไปจนถึงคิดคำนวณและตอบโต้กับเจ้าของบ้านได้อีกด้วย หรือระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดมากขึ้น ตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยจริงได้อย่างน่าทึ่ง ช่วยให้ชีวิตของลูกบ้านเอพีสะดวกสบายและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า “เอพีประสบความสำเร็จในการริเริ่มบุกเบิกตลาดทาวน์โฮมไฮเอ็นท์ Location กลางเมืองเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นเบอร์ 1 ของตลาดทั้งในแง่สัดส่วนยอดขายและจำนวนโครงการ จากความสำเร็จดังกล่าวการันตีได้ถึงความโดดเด่นด้านแนวคิดของ ‘การดีไซน์พื้นที่’ ที่สร้างความแตกต่างให้กับการอยู่อาศัย ซึ่งในการสร้างความแตกต่างเราไม่ได้พิจารณาเฉพาะการแข่งขันในตลาด แต่เราคำนึงถึงการ-ท้าทายตัวเราเอง นั่นคือการก้าวข้ามขีดจำกัดและศักยภาพของตัวเราเองด้วย การเปิดตัว ‘บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา’ ในครั้งนี้ จึงนับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการพัฒนาโครงการแนบราบของเอพี ด้วยแบรนด์ทาวน์โฮมไฮเอ็นท์ ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งเป็นที่น่าเชื่อถือของผู้บริโภคอย่าง ‘บ้านกลางเมือง’ จึงการันตีได้ถึงคุณภาพและแนวคิดฉีกกรอบภายใต้ปรัชญาการทำงาน ‘AP – The Differentiator’ หรือเอพีผู้สร้างความแตกต่างให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย”
“การที่เอพีบุกตลาด Super Luxury Villa (ระดับราคาขาย 20 ล้านบาทขึ้นไป) ในโซนเอกมัย – รามอินทรานับว่าเป็นทำเลที่มีจำนวน Demand และมียอดขายดีมาอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจ Supply กลุ่มสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวทั้งตลาด พบว่า 93% หรือประมาณ 24,332 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวที่อยู่ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 15 ล้านบาท และอีก 6% หรือประมาณ 1,504 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป และเมื่อศึกษาเข้าไปถึงทำเลที่ตั้งพบว่าจาก 6% นั้นมีเพียงแค่ 3 โครงการ หรือประมาณ 50 ยูนิตเท่านั้นที่ตั้งอยู่ในเมือง (รัศมี 10 กิโลเมตรจากรถไฟฟ้าจตุจักร) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางการตลาดที่จำนวนซับพลาย์เกิดใหม่ยังมีไม่มาก ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงกระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง” นายภมรกล่าว
โดยนายภมรยังกล่าวถึงแนวคิดการออกแบบโครงการ “บ้านกลางเมือง CLASSE” ภายใต้นวัตกรรม Multiverse Layouts ซึ่งเป็นวิธีคิดในการออกแบบพื้นที่แนวตั้งและแนวนอนพร้อมกัน ก่อให้เกิดมิติด้านพื้นที่ใช้สอยและการใช้งานที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ 3 ชั้น อีกทั้งยังสร้างความต่อเนื่องของสเปซภายนอกบ้านสู่ภายในบ้าน ตอบสนองความต้องการใช้ชีวิตที่หลากหลายของคน 3 ช่วงวัยในครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย 5 แนวคิดหลัก ดังนี้
- Multi-Dimension Space “เชื่อมต่อทุกมิติชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียว” เพิ่มประสบการณ์รวมถึงการใช้พื้นที่หลากกิจกรรมบนพื้นที่เดียวกัน เช่น ห้องนั่งเล่นชั้น 1 (Veranda Atrium) พื้นที่พักผ่อนที่มีดีไซน์เชื่อมต่อในแนวตั้งด้วยเพดานสูง 5 เมตร และการเชื่อมต่อพื้นแนวนอนสู่สวนด้านหน้า และดีไซน์ความเป็นส่วนตัวโดยเพิ่มทางเข้าบ้าน 3 แบบ (Triple Access) โดยสามารถเข้าจากห้องรับแขก จากห้องเตรียมอาหาร หรือบันไดหน้าบ้านสู่ห้องนั่งเล่นชั้น 2 ซึ่งประสบการณ์ที่ได้จะแตกต่างกันทั้งหมด
- Perceptual Space “ขยายขอบเขตของบ้านให้ใหญ่ขึ้น” การออกแบบบ้านโดยไม่มีการทิ้งพื้นที่ให้เปล่าประโยชน์ เชื่อมพื้นที่หน้าบ้านและสวนมาเป็นส่วนหนึ่งของห้องภายใน ที่เสมือนการขยายขอบเขตของพื้นที่ห้องออกไปด้านนอก เช่น ห้องรับประทานอาหารสามารถเชื่อมมุมมองออกไปยังสวนหลังบ้านจนถึงแนวกำแพงบ้าน รวมถึงห้องรับแขกที่สามารถเชื่อมการใช้พื้นที่ออกไปยังลานเอนกประสงค์จนถึงแนวรั้วต้นไม้
- Outside-In Space “พื้นที่สวนเดียวหลายมุมมอง” ที่บริเวณชั้น 3 ของบ้าน โดยสวนเล็กๆ นี้ได้ถูกออกแบบเป็น Courtyard และยังได้รับการออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้จากทุกชั้นภายในบ้าน รวมถึงสามารถมองต่อเนื่องขึ้นมาจากบริเวณโถงสูงของห้องรับแขก Height Ceiling เป็นพื้นที่ต่อเนื่องทางตั้ง นอกจากมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว สวนนี้ยังทำหน้าที่เป็นช่องแสง และช่วยเพิ่มการระบายอากาศภายในได้ เรียกได้ว่าเป็นสเปซที่ให้ความสำคัญกับความสงบ และความเป็นส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน
- Three Generational Space “พื้นที่ที่คำนึงถึงรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย” เชื่อมความสัมพันธ์ของคน 3 ช่วงวัย คือ รุ่นปู่ย่า/ตายาย รุ่นพ่อแม่ และรุ่นลูก โดยทุกคนในครอบครัวมีพื้นที่ในการทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น เปลี่ยนแนวคิดด้านข้อจำกัด ทำให้พื้นที่ตรงนี้กลายเป็นพื้นที่เชื่อมสายใยรัก ความอบอุ่น แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวของคนในครอบครัว อาทิ Patio Family Living ห้องนั่งเล่นของครอบครัวที่ ชั้น 2 ของบ้าน โดยเพิ่มเอกลักษณ์และความเป็นส่วนตัวด้วยการเชื่อมบันไดหน้าบ้านตรงสู่ห้องนั่งเล่น และการออกแบบที่คำนึงถึงผู้สูงอายุเป็นหลัก อาทิ ห้อง Sanctuary Unit ห้องนอนผู้สูงอายุชั้น 1 พร้อมพื้นลดแรงกระแทก (absorption floor) และราวจับในห้องน้ำ
- Convertible Space “การออกแบบพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย” ประโยชน์ใช้สอยเต็มพื้นที่ ฉีกกรอบคำจำกัดความแบบเดิม ยกตัวอย่าง พื้นที่เตรียมอาหารขนาดใหญ่ (Dining Terrain) ทำให้เกิดมุมมองที่โปร่ง แปลกตา จากที่จอดรถที่ไม่เป็นผนังทึบ กลายเป็นลาน-เอนกประสงค์สำหรับจัดงานสังสรรค์เล็กๆ สำหรับครอบครัวและกลุ่มเพื่อนได้อีกด้วย
“บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา” ตั้งอยู่ถนนสุคนธสวัสดิ์ 19 มีจำนวนทั้งสิ้น 156 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,560 ล้านบาท วางการเปิดขายเป็น 2 เฟส ได้แก่ เฟสที่ 1 จำนวน 56 ยูนิต (เปิดพรีเซล 19-20 พ.ย. นี้) และเฟสที่ 2 จำนวน 100 ยูนิต (คาดว่าจะเปิดขายช่วงต้นปี 2560) โครงการได้รับการพัฒนาบนที่ดินขนาด 32.3 ไร่ ในทำเลเชื่อมต่อย่านธุรกิจใจกลางเมือง แวดล้อมไปด้วยแหล่งแฮงค์เอาท์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวคนเมือง อาทิ เซ็นทรัล อีสต์วิลล์, CDC และเดอะ วอล์ค เป็นต้น สะดวกต่อการเดินทางเข้าออกเมืองและใช้ชีวิตของสมาชิกในครอบครัว
โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เราเปิดตัวโครงการแนบราบไปแล้ว 8 โครงการ มูลค่ารวม 6,550 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการ มูลค่า 4,010 ล้านบาท และทาวน์โฮม 4 โครงการ มูลค่า 2,540 ล้านบาท ยอดขายโครงการแนวราบ (ณ วันที่ 15 กันยายน) รวม 9,745 ล้านบาท และมีสินค้าแนวราบรอรับรู้รายได้รวมมูลค่า 5,685 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจากการเปิดโครงการใหม่ และกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจยอดขายโครงการแนวราบปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ เป้ายอดขายโครงการแนวราบ 14,500 ล้านบาท” นายภมรกล่าว
นอกจากนี้ ในช่วง 4 เดือนสุดท้าย เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,400 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 5 โครงการ มูลค่า 3,840 ล้านบาท และบ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา 1 โครงการ มูลค่ารวม 2,560 ล้านบาท