แสนสิริเปิดตัว The Base Garden – Rama 9 (เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9) มูลค่า 2,280 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด Garden of creation
· 1 min read
แสนสิริเปิดตัว “THE BASE Garden – Rama 9” (เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9) คอนโด high-rise จำนวน 639 ยูนิต มูลค่า 2,280 ล้านบาทเป็นโครงการที่ 5 ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง แสนสิริ และ บีทีเอส กรุ๊ป ยกระดับความพรีเมียม คัดสรรวัสดุที่ใช้อย่างบรรจงทุกรายละเอียด ด้วยการนำหินจากประเทศอิตาลีมาตกแต่งห้องฟิตเนสและ Lobby และปรับดีไซน์ ให้สะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สะท้อนความเป็นคุณ” ในแนวคิด GARDEN OF CREATION นำพื้นที่สีเขียวมารวมกันก่อเกิดเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ให้มากกว่าการพักผ่อน เดินทางสะดวกใกล้แอร์พอร์ตลิงค์สถานีรามคำแหง 700 ม. ใกล้ทางด่วนศรีรัชเพียง 800 ม. เตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการ 4 ประเทศ วันที่ 3-4 ก.ย.นี้ ที่ฮ่องกง และ 10-11 ก.ย.นี้ ที่จีน, สิงคโปร์ และไทย ราคาเริ่มต้นที่ 2.19 ล้านบาท พร้อมจัดโปรโมชั่น เมื่อจองในงานในวันที่ 10-11 กันยายนนี้ รับฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้าครบชุด หรือระบบ Home Automation มูลค่าสูงสุดรวมกว่า 40,000 บาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE BASE (เดอะ เบส) เป็นคอนโดมิเนียมที่มุ่งเน้นตอบสนองชีวิตคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง การออกแบบในแต่ละโครงการจะเป็นการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ของคนที่อยู่อาศัยในทำเลนั้น จึงเป็นที่มาของแนวคิด “You are where you live” เน้นแนวคิดการตลาดด้านการพัฒนาแบรนด์ที่มีความชัดเจนและสะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง แบรนด์ The Base เริ่มเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2554 ในโครงการ The Base Sukhumvit 77 และได้มีการขยายการพัฒนาโครงการไปในโซนรอบนอกและต่างจังหวัด ทำให้แบรนด์ The Base ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีความแข็งแกร่ง ปัจจุบันมี The Base จำนวนทั้งหมด 11 โครงการ จำนวน 8,326 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 19,242 ล้านบาท
The Base Garden – Rama 9 แตกต่างจากคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส โครงการอื่น โดยพัฒนาใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้น ด้วยการนำหินจากประเทศอิตาลีมาตกแต่งห้องออกกำลังกาย รวมถึงห้องอเนกประสงค์ ส่วน Lobby ประดับด้วย chandelier ที่ให้ดีไซน์เหมือนสายฝน เพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายอย่างมีระดับ นอกจากนี้ฟังก์ชั่นในห้องก็มีเพดานสูงเพิ่มความโปร่ง สบาย พร้อมกระจกกันเสียงในพื้นที่ห้องนอน ให้ความสงบส่วนตัวยามพักผ่อน และครัวก็เพิ่มความทันสมัยด้วยการเลือกวัสดุที่ดีมาใช้กับท็อปเคาน์เตอร์ครัว นำ Porcelain slab ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีกว่าหินแกรนิตมาใช้ โดยมีความทนทาน รองรับน้ำหนักได้ดี ดูดซึมน้ำน้อย และดูแลง่าย ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำครัว และเพิ่มความความสวยงามให้กับห้องครัวอีกด้วย
“ทั้งนี้โครงการออกแบบภายใต้แนวคิด GARDEN OF CREATION นำเอาพื้นที่สีเขียวมารวมกันทำให้โครงการมีพื้นที่สวนขนาดใหญ่ และยังเชื่อมต่อการเดินทางสู่ส่วนต่างๆของกรุงเทพได้ง่ายดายด้วยถนนหลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็นพระราม 9 รามคำแหง พัฒนาการ รัชดา อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงแหล่งไลฟ์สไตล์อย่างทองหล่อ-เอกมัยได้สะดวก แวดล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์มากมาย อาทิ เดอะ ไนน์, เดอะมอลล์ รามคำแหง, ฟู้ดแลนด์ และ บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ รวมทั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยรามคำแหง และ ABAC แหล่งรวมออฟฟิศ สถานที่ทำงาน ร้านอาหารและแหล่งแฮงค์เอ้าท์ของคนรุ่นใหม่ เหมาะกับการอยู่อาศัยและปล่อยเช่า ซึ่งได้ผลตอบแทน 6% ถ้าดูจากโครงการ The Base Rama 9 ซึ่งเป็นโครงการก่อนหน้าในทำเลเดียวกัน ในปัจจุบันสามารถปล่อยเช่าได้ที่ห้องละ 12,000 – 15,000 บาท/เดือน ทำให้คาดว่าโครงการ The Base Garden – Rama 9 จะได้รับการตอบรับที่ดี” นายอุทัย กล่าว
The Base Garden Rama 9
(เดอะ เบส การ์เดน พระราม 9)
- เจ้าของโครงการ >>> Sansiri ร่วมทุนกับ BTS ภายใต้ชื่อ Sansiri BTS Holding Seven
- ที่ตั้งโครงการ >>> ถนนพระราม 9
- ขนาดที่ดิน >>> ประมาณ 3 ไร่
- จำนวนชั้น >>> 36 ชั้น
- จำนวนอาคาร >>> 1 อาคาร
- ประเภทห้องและขนาดห้อง >>>
- 1 ห้องนอน ขนาด 26.50 – 34.75 ตารางเมตร
- 2 ห้องนอน ขนาด 49.75 – 55 ตารางเมตร
- จำนวนยูนิต >>> ห้องพักอาศัย 639 ยูนิต และ ร้านค้า 1 ยูนิต
- ที่จอดรถ >>> ประมาณ 40% รวมจอดซ้อนคัน
- ราคาขายเริ่มต้น ณ วันทำรีวิว >>> 2.19 ล้านบาท (ณ วันที่เปิดตัว)
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร >>> ประมาณ 100,000 บาท/ตารางเมตร
- พิกัด GPS >>> 13.746589, 100.605987
- เว็บไซต์โครงการ >>> คลิกที่นี่
- โทร >>>1685
แสนสิริคาดว่าจะสามารถทำยอดขายโครงการ The Base Garden – Rama 9 จากลูกค้าต่างชาติจากฮ่องกงและสิงคโปร์รวมกันได้ประมาณ 150 ยูนิต และเมื่อเปิดขายในประเทศไทย คาดว่าจะสามารถทำยอดขายจากช่วงพรีเซลได้ประมาณ 50 – 60% ของทั้งโครงการ โดยปัจจุบันนี้โครงการได้ผ่าน EIA เรียบร้อย และได้เริ่มตอกเสาเข็มไปแล้ว และคาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างทั้งหมด 28 เดือน