ศุภาลัย เปิดแผนธุรกิจปี 2562 ตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง หลังจากปี 2561 ทำยอดขายกว่า 33,343 ล้านบาท เติบโต 8% จากปี 60   โดยในปีนี้พร้อมเปิดโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดฯ รวม 34 โครงการ มูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 35,000 ล้านบาท  เน้นบ้านคุณภาพดี และนวัตกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกคนในครอบครัว

ภาพรวมอสังหาฯ ปี 2562

ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหารบริษัท ศุภาลัย พูดถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2562 โดยมองว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯ น่าจะมีมูลค่าการพัฒนาใกล้เคียงกับปีที่แล้ว แต่อาจเติบโตในอัตราที่ลดลงบ้าง เนื่องจากคนยังมีกำลังซื้อ  และอัตราดอกเบี้ยยังไม่สูงมากนัก โดยยังคงมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนหลายๆ ด้าน เช่น

• การลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
• รายได้จากการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่มีเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น
• รายได้ของประชาชนมีมากขึ้น และมีสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน
• การลงทุนของภาคเอกชนในด้านต่างๆ ที่ไหลมาลงทุนมากขึ้นจากการส่งเสริมการลงทุนโดยเฉพาะในเขต EEC

แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีปัจจัยลบสำคัญที่น่าจับตามอง ทั้งความเข้มงวดในการปล่อยกู้ของธนาคาร, อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มสูงขึ้น, ปัญหาหนี้ครัวเรือน, มาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย และความผันผวนจากเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตามคาดว่าต้นทุนค่าก่อสร้างในปีนี้น่าจะยังคงทรงตัวเหมือนกับปีที่แล้ว แต่สำหรับผู้ประกอบการที่ซื้อที่ดินมาในราคาสูงเกินจริงหรือถือที่ดินมากเกินไป อาจประสบปัญหาภาระหนี้สินจากการแบกรับดอกเบี้ยที่สูงได้  ซึ่งคาดว่าในอนาคตราคาที่ดินจะปรับตัวมาสู่จุดสมดุลที่เหมาะจะนำมาพัฒนาโครงการมากขึ้น

ผลประกอบการปี 2561

ด้านผลประกอบการปี 2561 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายได้เกินเป้ามาอยู่ที่ 33,343 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งการเติบโตมาจากยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 17,282 ล้านบาท และยอดขายโครงการแนวราบ 16,061 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการไปทั้งสิ้น 25 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 22 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่ารวม 25,980 ล้านบาท

ในภาพรวมของตลาดปี 2561 ที่ผ่านมา  เป็นปีที่แนวราบเติบโตได้ดี  และคอนโดก็มี take up rate ที่ดีอยู่  โดยหลายโครงการของศุภาลัยก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี เช่น Supalai Essence ลาดพร้าว, Supalai Essence สวนหลวง, ศุภาลัย พรีม่า วิลล่า พระราม 2–บางขุนเทียน, ศุภาลัย พาร์ควิลล์ แม่กรณ์-เชียงราย, ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง

แผนธุรกิจปี 2562

แผนงานปี 2562 Supalai ยังคงตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง วางเป้ายอดขายอยู่ที่ 35,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 5% พร้อมทั้งตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 28,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ในปี 61 อีก 7% โดยศุภาลัยเชื่อมั่นว่ามาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยจะกระทบกับบริษัทไม่มากนัก

รายได้หลักของคอนโดมิเนียมจะมาจากโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2562 มีทั้งหมด 4 โครงการ คือ

• Supalai Lite รัชดาฯ-นราธิวาส-สาทร  (Q1)
• Supalai Elite สุรวงศ์ (Q2)
• Supalai City Resort พระราม 8 (Q2)
• Supalai Veranda พระราม 9  (Q3)

สำหรับแผนการเปิดโครงการปีนี้  ทางศุภาลัยจะเปิดโครงการใหม่จำนวน 34 โครงการ มากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา มูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ (ต่างจังหวัด 15 โครงการ กรุงเทพฯ 13 โครงการ) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 52% โครงการคอนโดมิเนียมอีก 6 โครงการ คิดเป็น 48%  และเตรียมงบสำหรับจัดซื้อที่ดินไว้ประมาณ 8,000 ล้านบาท

โดยที่ยังโฟกัสในเรื่องของความคุ้มค่าของโปรดักส์ในราคาที่เหมาะสม  สำหรับคอนโดมิเนียมจะเน้นที่โครงการที่มีราคาเฉลี่ยต่ำกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร อย่างที่เคยทำมาเพราะเป็นช่วงราคาที่คนส่วนใหญ่ยังจับต้องซื้อหาได้  โดยจะเปิดคอนโดเฉพาะในกรุงเทพฯ ไม่พัฒนาคอนโดในต่างจังหวัด ในขณะที่ตลาดบ้านแนวราบจะเน้นการพัฒนาบ้านเดี่ยวในช่วงราคา 4-6 ล้านเป็นหลัก  ซึ่งยังคงเน้นการพัฒนาบ้านเดี่ยวในหัวเมืองสำคัญต่างๆ ของไทยอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ในปีนี้ จะมีการเปิดตัวโปรเจคใหญ่ของบริษัท Supalai Icon (ศุภาลัย ไอคอน) บนที่ดินสถานฑูตออสเตรเลียเดิม บนถนนสาทร ซึ่งเป็นโครงการ Mixed used ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาแบบ  คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในช่วงครึ่งปีแรกนี้

และปี 2562 นี้ ศุภาลัย จะมุ่งพัฒนาใน 5 ด้านหลัก ได้แก่

1. พัฒนาแบบบ้านใหม่ ฟังก์ชั่นใหม่ของคอนโด และทำเลใหม่ที่มุ่งสร้างความคุ้มค่าให้กับลูกค้า ในราคาที่ลูกค้าส่วนใหญ่สามารถเอื้อมถึงได้
2. การสร้างสรรค์บ้านอัจฉริยะ โดยการนำระบบ Home Automation & Security มาใช้ในโครงการใหม่ๆ มากขึ้น
3. การขยายฐานการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าในระดับ High-End ที่มีกำลังซื้อสูงเพิ่มมากขึ้น ทั้งโครงการแนวราบ และคอนโดมิเนียม
4. การปรับปรุงระบบภายในองค์กรใหม่ ทั้งการเก็บข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์สำหรับงานขาย และการเก็บข้อมูลในด้านการก่อสร้างมาเพื่อวิเคราะห์ต้นทุนที่แม่นยำขึ้น เป็นต้น
5. การดูแลด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) มากขึ้น