Sansiri ประสบความสำเร็จในการเปิดขาย Subordinated Perpetual Bond พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่และขยายการลงทุน
· ~ 1 min readบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) ประสบความสำเร็จในการเปิดขาย Subordinated Perpetual Bond และความเชื่อมั่นของลูกค้า ส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จในยอดขาย ด้านนายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ เผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ (Subordinated Perpetual Bond) โดยมีอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรกเท่ากับ 8.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ซึ่งในครั้งนี้นักลงทุนให้การตอบรับเต็มจำนวนนำเสนอขาย 3,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนมีความความเชื่อมั่นต่อแสนสิริและความแข็งแกร่งของแบรนด์
สำหรับ Subordinated Perpetual Bond นับเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ต้องให้ความรู้ ความเข้าใจ ต่อนักลงทุนทั้งในเรื่องผลตอบแทนและความเสี่ยงในการลงทุน โดยในการนำเสนอขายครั้งนี้ทั้ง 6 สถาบันการเงินที่เป็นตัวแทนจำหน่ายได้ให้ความรู้กับนักลงทุนอย่างโปร่งใส ครบถ้วน ได้แก่
- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน)
- บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้เงินที่ได้จากการเสนอขาย จะถูกนำมาขยายการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ภายใต้แนวคิด Made for Life…Made for Everyone โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทั้งในด้านโปรดักส์-การบริการ (Sansiri Service)-พื้นที่แบ่งปันไลฟ์สไตล์รวมถึงวัฒนธรรมการใช้ชีวิตระหว่างกัน (Culture) และการทำเพื่อสังคม ชุมชนรอบตัว (Sustainability) ซึ่งเป็นจุดขายที่แสนสิริแตกต่าง ทั้งยังเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ในทุกระดับราคา
พร้อมกันนี้บริษัทยังเดินหน้าตามแผนด้านการเงินเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว ตามเป้าหมายของการเป็น “แบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน” ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง
ทั้งนี้ แผนการเติบโตระยะยาว บริษัทมีแผนผลักดันยอดขายให้เติบโตสู่ 120,000 ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปี ด้วยแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่ง 3 แนวทางได้แก่
1) แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่รัดกุมพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา : จากการประเมินภาพรวมสถานการณ์ต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่รองรับการเติบโตอีก 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,900 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม และมิกซ์โปรดักส์ 10 โครงการ มูลค่ารวม 14,300 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท
2) การบริหารสต็อกที่ดี : ปัจจุบันแสนสิริ มีสินค้าพร้อมขายมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท โดยนับว่าเป็นปริมาณที่มีความสมดุลในตลาด
3) การบริหารกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่ดี : การจัดสรรเงินหมุนเวียนในระดับที่เหมาะสมเมื่อรวมกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากผลตอบรับในการปิดการขาย Subordinated Perpetual Bond ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทมีสภาพคล่องในมือรวมเป็น 12,000 ล้านบาท ทำให้มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์
นอกจากนี้บริษัทยังคาดการณ์กำไรที่เพิ่มขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง จากการโฟกัสโครงการแนวราบ เป็น Strategic Flagship ควบคู่ไปกับการรักษายอดขายและยอดโอนโครงการคอนโดมีเนียม โดยมีแผนโอนคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ อีก 4 โครงการใหม่ ได้แก่ เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่, XT เอกมัย และ La Habana หัวหิน เป็นต้น