บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า และผู้นำยอดขายคอนโดทั่วประเทศปี 2557 – 2558 รวมสูงสุด สร้างยอดขายทั้งจากโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบสูงสุดเป็นสถิติใหม่อีกครั้ง ส่งผลให้ยอดขายรอรับรู้รายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมเปิดเผยแผนธุรกิจในปี 2559 เปิดตัวใหม่ 12 โครงการ มูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดโอนเติบโต 61% จากปีก่อน พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น มั่นใจคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ายังสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมืองได้อย่างดีที่สุด
อนันดาฯ ทุบสถิติใหม่ด้วยยอดขายปี 58 เติบโต 26% จากปีก่อน ลุยเปิด 12 โครงการใหม่ ตั้งเป้ายอดโอนปี 59 เพิ่มขึ้น 61%
· ~ 1 min readนายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จสูงเกินคาดจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ โดยนับว่าเป็นปีที่บริษัทสามารถสร้างสถิติใหม่ทั้งในส่วนของยอดขาย ยอดขายรอรับรู้รายได้ และมูลค่าเปิดโครงการใหม่ สำหรับในปี 2558 บริษัทฯ สร้างยอดขายเป็นสถิติใหม่สูงกว่า 26,235 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน โดยมาจากยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 22,268 ล้านบาท และยอดขายโครงการแนวราบ 3,967 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นปี 2558 จำนวน 37,200 ล้านบาท ซึ่งสร้างสถิติอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 37% จากสิ้นปี 2557 ที่ 27,100 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ได้เปิดขายโครงการใหม่สูงสุดเป็นสถิติ ด้วยมูลค่า 34,828 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม 31,907 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 2,921 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานประจำปี 2558 บริษัทฯ สร้างรายได้ 11,025 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน ซึ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 9,598 ล้านบาท บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิ 1,207 ล้านบาท ลดลง 7% จากปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 1,301 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายเกี่ยวเนื่องในเปิดขายโครงการใหม่ตลอดปี 2558 สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ของปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้ จำนวน 5,426 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 900 ล้านบาท โดยมีตัวเลขรายได้เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรสุทธิในไตรมาสนี้อยู่ที่ 17% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 15%
จากความสำเร็จที่ดีเกินกว่าเป้าหมายในการสร้างยอดขายทั้งปีเพิ่มขึ้นถึง 26% จากปีก่อน แสดงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้ายังมีอยู่มาก ประกอบกับความแข็งแกร่งของแบรนด์อนันดา ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าเพิ่มความมั่นใจให้กลุ่มเป้าหมายในการเลือกซื้อมากยิ่งขึ้น
จากยอดขายที่สูงสุดสร้างสถิติในปี 2558 และการรักษาวินัยทางการเงิน โดยบริษัทฯ ควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายเทียบกับยอดขายในปี 2558 ลดลงประมาณหนึ่งในสามจาก 2 ปีที่ผ่านมา และบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายการบริหารเทียบกับมูลค่าโครงการที่พัฒนาทั้งหมด ลดลงหนึ่งในสามจากช่วงเดียวกัน จะส่งผลดีต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต พร้อมกับยอดโอนในอนาคตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายหลังเงินลงทุนจาก IPO และการประสบความสำเร็จในการควบคุมต้นทุนดังกล่าว
ในปี 2558 บริษัทฯ ยังคงมีการร่วมทุนอย่างต่อเนื่องกับมิตซุย ฟูโดซัง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และได้ประกาศร่วมทุนเพิ่มอีก 5 โครงการ รวมเป็นโครงการร่วมทุน 9 โครงการ ด้วยมูลค่าโครงการรวมสูงถึง 45,000 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯ มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกความร่วมมือกับบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ในการเปิดตัว “Samsung IoT Smart Home” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้มีการศึกษาวิจัยร่วมกัน พร้อมร่วมแบ่งปันมุมมองเพื่อนำมาพัฒนานวัตกรรมดังกล่าว ทำให้ลูกค้าได้รับเทคโนโลยีใหม่ที่นำนวัตกรรมเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม ถือเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เคยทำมาก่อนหน้า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังประยุกต์ใช้ระบบการบริหารและควบคุมคุณภาพโครงการจากมิตซุย (TQPM : Total Quality Project Management System) และได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) ซึ่งครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของบริษัทฯ โดยมีส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านระยะเวลาในการออกแบบ และควบคุมคุณภาพในอนาคต นอกจากนี้ได้ดำเนินการยกระดับระบบการจัดการภายในเพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัทฯ ในอนาคต
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในปี 2559 แม้ว่าความต้องการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ายังมีเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่บริษัทฯ ก็ใช้ความระมัดระวังในการวางเป้าหมายการดำเนินงานโดยตลอด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะหนี้ภาคครัวเรือน และปัญหาเศรษฐกิจจีน แต่อย่างไรก็ตามปี 2559 เป็นช่วงเวลาสำคัญของอนันดาฯ ในการเข้าสู่ช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนจะเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ตั้งแต่ 2558 ถึงปี 2561 โดยในปี 2559 เมื่อรวมส่วนแบ่งยอดโอนจากโครงการร่วมทุนเฉพาะส่วนของอนันดา คาดหมายยอดโอนจะเพิ่มขึ้น 40% อยู่ที่ 13,400 ล้านบาท ในปี 2559 ยอดขายรอรับรู้รายได้ที่จะโอนในปีนี้ อยู่ที่ 10,800 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายรอรับรู้รายได้รวมส่วนแบ่งยอดโอนเฉพาะของอนันดา อยู่ที่ 8,600 ล้านบาท คิดเป็น 65% ของเป้ายอดโอนในปี 2559 โดยเงินลงทุนจาก IPO ที่ได้นำมาพัฒนาโครงการและมีการเปิดขายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งการก่อสร้างได้แล้วเสร็จและเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ โดยจะเริ่มสร้างผลตอบแทนจากยอดโอนในปี 2559 จำนวน 5 โครงการ
จากวงจรเงินลงทุนของบริษัทฯ ทำให้ในปี 2559 ตั้งเป้าเปิดขายโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม 9 โครงการ มูลค่า 18,700 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 3 โครงการ มูลค่า 3,300 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขายกว่า 21,000 ล้านบาท จากโครงการที่เปิดขายใหม่ที่ลดลงจากปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทฯ เตรียมงบซื้อที่ดิน กว่า 8,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 5,200 ล้านบาทในปี 2558 รองรับการเติบโตในอนาคต
สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ ในไตรมาส 1 ปี 2559 บริษัทฯ มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างเป็นทางการ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแอชตัน สีลม โครงการแอชตัน สีลม มีจำนวน 428 ยูนิต มูลค่ารวม 6,006 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม high-rise ระดับลักซ์ชัวรี่ ถือเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกที่เปิดขายบนถนนสีลมในระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา ที่ตั้งห่างจาก BTS สถานีช่องนนทรี 350 เมตร ด้วยทำเลที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว ผสานนวัตกรรม Interlocking พร้อมความสูงของห้อง 3.6 เมตร และรวบรวมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันมากถึง 4 ชั้น ในราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท และ โครงการ ไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ (Ideo Tha Phra Interchange) คอนโดมิเนียม high-rise จำนวน 844 ยูนิต มูลค่ารวม 2,922 ล้านบาท เพียง 100 เมตร จาก MRT สถานีท่าพระ ใกล้จุดเชื่อม Interchange ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 แห่ง เป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง
“นอกจากนี้ในส่วนของกระแสเงินสดของบริษัทยังมีความแข็งแกร่งโดยเรามีนโยบายในการรักษาระดับเงินสดในบริษัทอย่างน้อย 1,000 ล้านบาทอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกขึ้นมาใช้ได้ตามสถานการณ์ แม้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังคงรักษาความมีวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด พร้อมดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุน ต่ำกว่า 1:1” นายชานนท์ กล่าวสรุป
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้นำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท โดยถือเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงสุดเป็นสถิติ จากนโยบายที่ยังคงเพิ่มเงินปันผลทุกปีให้แก่ผู้ถือหุ้น ภายหลังการระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์